‘น้ำพริกป้าแว่น’ จากครกบ้าน ๆ สู่ร้านสะดวกซื้อ อร่อยจนเป็นไวรัลและปลดหนี้ได้หลายสิบล้าน
Wealth / Business
27 Nov 2024 - 7 mins read
Wealth / Business
SHARE
27 Nov 2024 - 7 mins read
ช่วงเทศกาลกินเจที่ผ่านมา ไหนใครบ้างได้ชิม ‘น้ำพริกเห็ด 3 อย่างป้าแว่น’
อยู่ ๆ น้ำพริกตัวนี้ก็กลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์ พอคนไปบอกต่อกันว่าอร่อย น้ำพริกก็ขายดีจนขาดตลาด ลำบากป้าแว่นต้องรับโทรศัพท์จนหูชา เพราะคนโทรมาฟ้องว่าหาซื้อไม่ได้และขอร้องให้ทำมาขายอีกเยอะ ๆ
เทศกาลกินเจเพิ่งเข้าวันที่สาม น้ำพริกเห็ด 3 อย่างก็ขายหมดเกลี้ยงจากร้านสะดวกซื้อทุกสาขา กว่าจะได้กินอีกทีไม่รู้ต้องรอเทศกาลกินเจปีหน้าไหม วันนี้ LIVE TO LIFE จึงพามาบุกโรงงานน้ำพริกป้าแว่น อำเภอเกาะจันทร์ จังหวัดชลบุรี มาชิมน้ำพริกเห็ด 3 อย่างตัวดังที่ป้าตำสด ๆ จากครกกันเลยดีกว่า
ป้าแว่น หรือ บังอร วันน้อย ใส่เสื้อคอกระเช้า ผ้าถุง กำลังนั่งตำน้ำพริกอย่างอารมณ์ดีอยู่หน้าบ้าน คนนี้แหละคือผู้ก่อตั้ง
แบรนด์น้ำพริกป้าแว่น และเป็นเจ้าของสูตรน้ำพริกอร่อย ๆ ที่วางขายในร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ ยังไม่ทันทักทายอย่างเป็นทางการ ป้าก็ตักน้ำพริกเห็ดในตำนานจากครกใส่ถ้วยใบใหญ่ แล้วเรียกให้ไปชิมรสชาติที่คุ้นเคย แต่ต่างจากในร้านสะดวกซื้อตรงที่เผ็ดร้อนกว่าหลายเท่า ชิมไปชิมมาจนอยากได้ข้าวสวยสักจาน
จากน้ำพริกที่ขายในตลาดบ้าน ๆ มาสู่ร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย เบื้องหลังของ ‘น้ำพริกป้าแว่น’ เต็มไปด้วยเรื่องราวหลากหลายรสชาติ เชื่อว่าหากฟังแล้วคงยิ่งทำให้น้ำพริกถ้วยนี้กลมกล่อมยิ่งกว่าเดิม
ที่ตั้งชื่อว่า ‘น้ำพริกป้าแว่น’ เพราะป้าใส่แว่นหรือเปล่า
“เรียกป้าแว่นเนี่ยไม่ใช่เพราะใส่แว่นแค่นั้นหรอก แต่เพราะว่าตอนนั้นไปขายน้ำพริกที่ตลาด แล้วไม่มีใครซื้อเลย ไม่รู้เพราะเราขี้เหร่หรือไง (หัวเราะ) ป้าใส่แว่นอยู่แล้ว เจ้าของตลาดแกเลยมาประกาศว่าน้ำพริกแกงป้าแว่นอร่อย ป้าแว่นที่คนสวย ๆ ใส่เสื้อลายดอก ใส่แว่นตาน่ะ เขาก็เลยเรียกป้าแว่นกันมาตั้งแต่ตอนนั้น”
ก่อนมาขายน้ำพริกป้าแว่นทำอาชีพอะไร
“ป้าเป็นคนชลบุรี แต่ก่อนดำนาอยู่ตรงนี้แหละ ป้าเป็นลูกคนโต ครอบครัวคนจีน ที่บ้านมีเถียงนาปลูกไว้ให้คนงาน ป้าก็เป็นคนเดียวที่แต่งงานแล้วออกมาอยู่ที่เถียงนา แฟนป้าเขาก็ไม่เก่ง เป็นคนขับรถบรรทุกปุ๋ย พอมาย้ายมาอยู่ที่นี่เราก็ปลูกผักขาย ไม่มีผักอะไรที่ยายแว่นไม่เคยปลูก”
แล้วป้ามาขายน้ำพริกได้อย่างไร
“ป้าเริ่มขายน้ำพริกตั้งแต่ปี 2540 ป้าไม่มีเงิน ไม่ได้ร่ำเรียน แต่ตอนนั้นลูกสามคนกำลังจะเข้าโรงเรียน ต้องให้เงินวันละบาท ปลูกผักวันนี้ไม่ได้ขายได้พรุ่งนี้ เอาไปขายได้โลละ 6 สลึง แล้วจะเอาเงินที่ไหนให้ลูก ไปสมัครโรงงานแถวนี้ เขาให้เราทำความสะอาด ชงกาแฟ เราทำได้ แต่หนึ่งเดือนเงินถึงจะออก คนชนบท ท้องไร่ท้องนาเนี่ย ไม่มีคือไม่มีเลยนะ ค้นให้ตาย บาทเดียวก็คือไม่มี”
“ตอนนั้นมีรุ่นน้องชื่อคุณสุวรรณา เขามาบอกว่า เจ๊ ๆ ตรงนี้มีตลาดเปิดใหม่ เจ๊ทำพริกแกงอร่อยก็ทำไปขายเถอะจะได้มีตังค์ให้ลูก เราก็ลังเลอยู่เพราะไม่ชอบขายของ ไม่ชอบพูดจ๊ะจ๋า โอ๊ย กระดากว่ะ เราเป็นคนเถื่อน ๆ ด้วย (หัวเราะ) แต่เราไม่มีทางเลือกไง”
“เราก็คิดว่าจะเอาเงินที่ไหนไปลงทุน สุดท้ายคุณวิไล เพื่อนรุ่นเดียวกันเลยไปยืมเงินเตี่ยเขามาให้ 3 หมื่น แต่เตี่ยให้มา 5 หมื่น เราก็เอาเงินไปเซ้งแผงร้านที่ตลาด ซื้อกะละมัง อวนเขียว ๆ ใส่ต้มยำไปขาย แล้วก็ซื้อเครื่องโม่พริกแกงเล็ก ๆ มา ทั้งตำ ทั้งโม่ ผัดน้ำพริกก็ผัดในกระทะทำกับข้าวบ้านเรานี่แหละ ลูกกลับจากโรงเรียนก็ช่วยกัน คนนึงปอกหอม คนนึงเด็ดพริก คนนึงปอกกระเทียม เราทำน้ำพริกในบ้านเถียงนา เป็นเพิงเล็ก ๆ จากได้เงินวันละ 3-4 ร้อย ก็ได้วันละ 2 พันกว่า มันมหาศาลมากสำหรับเรา เราไม่เคยเห็นเงิน สมัยนั้นถือว่าไม่น้อยเลย ขายไปก็มีเงินเก็บ”
ตำน้ำพริกอร่อยจนได้ 5 ดาว จาก OTOP
“ตอนนั้นที่ที่เราอยู่แยกออกมาเป็นอำเภอใหม่ ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย เขาเห็นป้าตำน้ำพริกเป็นเลยให้ป้าไปสมัครกลุ่มแม่บ้าน แต่ป้าไม่เอา เพราะเราคงไปกับเขาไม่ได้ เขามีเสื้อผ้า รองเท้าดี ๆ สังคมดี ๆ แต่ก็ต้องมีหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ เขาเลยเอาน้ำพริกเราไปขายในนามกลุ่มสตรี ไปออกร้าน แล้วเอาเงินมาให้ เราเป็นที่รู้จักก็ตอนคัดเลือก OTOP น้ำพริกเราได้ 5 ดาวหมดเลย มีน้ำพริกนรก แมงดา กุ้งกรอบ นรกกุ้ง นรกแมงดา”
ทำไมป้าตำน้ำพริกอร่อย ไปเรียนรู้มาจากที่ไหน
“เพิ่งมาตำน้ำพริกเป็นตอนเริ่มค้าขายนี่แหละ คนถามเยอะว่าไปเรียนมาจากไหน ใครเขาจะบอก ใครเขาจะเล่า เราคิดแค่ว่าน่าจะต้องทำแบบนี้ มันคิดได้เอง”
“แม่เราทำกับข้าวไม่เป็น ทั้งแม่ ทั้งเตี่ย ขับเกวียน ทุบอ้อย ไถคราด ตีสามเตี่ยจะเรียกให้เราเอาควายไปล้าง แล้วต้องกลับมาหุงข้าวให้น้อง เก็บบวบไว้ตอนเย็นมาผัดบวบใส่ไข่ แล้วก็ผัดไข่ใส่บวบ ผัดแตงใส่ไข่ แล้วก็ผัดไข่ใส่แตง ต้มแฟงใส่ไชโป๊ แล้วก็ต้มไชโป๊ใส่แฟง ทำอยู่แค่นี้เพราะลำบาก มีกินแค่นั้น กุ้ง หอย ไม่ได้กินหรอก เนื้อแดงสมัยนั้นโลละตั้ง 20-30 บาท แม่ขายถั่วลิสงได้ทีนึง เขาถึงจะซื้อน้ำมันหมูที่มีกากหมู มาให้เราต้มกับผักที่ปลูกเอง ป้าทำอาหารเป็นเพราะทำตั้งแต่เล็ก”
น้ำพริกขายดีมากแต่กลับต้องเป็นหนี้ก้อนใหญ่ตอนอายุ 50
“เตี่ยเอาที่ 41 ไร่ไปให้น้องสาวเลี้ยงกุ้ง ทีนี้ตอนปี 2549 มันขาดทุน กู้เงินมาเกือบ 4 ล้าน แตไม่ได้ส่งธนาคาร 7 ปี เลยจะโดนยึด ตอนนั้นป้ากำลังเดินสายขายของไปทั่ว อยู่ที่พารากอน เตี่ยบอกว่าเรียกอีบังอรมาแล้วขายที่ให้มัน เราไม่มีตังค์หรอกนะ แต่เตี่ยบอกว่าก็ทยอยให้แล้วกัน คิดดูสิ ซื้อก็ต้องซื้อ ธนาคารก็ต้องจ่าย เราเอาตังค์จากที่ไหน ขายน้ำพริกก็ขายไม่ได้มากมายอะไร เตี่ยเขาเอาไร่ละแสนห้า ที่ตั้ง 41 ไร่ มีที่เกาะจันทร์อีก 58 ไร่ เราต้องไถ่ออกมาทั้งหมด”
แล้วตอนนั้นป้าทำอย่างไร
“ป้าก็ต้องดันตลาด ไปขอขายในแม็คโคร ไปเอง พนมมือสิบนิ้วแบบนี้เลยนะ ไม่มีฝ่ายการตลาดอะไรทั้งนั้น ไม่รู้จักด้วยซ้ำว่ามันคืออะไร เขาให้ขายอยู่หน้าห้างครึ่งค่อนปี พอขายดีก็เลยได้เข้าไปขายข้างใน ตอนนั้นพริกแกงที่ตักจากกะละมังยังไม่มีในห้างนะ ป้าแว่นเป็นเจ้าแรกในประเทศไทย เลยทำยอดขายให้แม็คโครชลบุรี จากนั้นก็ขยายไปศรีนครินทร์ ลาดพร้าว ภาคเหนือ อีสาน ใต้ เราก็เอาเงินที่ได้ไปส่งธนาคารด้วย ให้เตี่ยด้วย”
“ตอนขายในแม็คโครมีพนักงานตักพริกแกง แต่เขาโดนจ้างไปเดินขบวนได้ตั้ง 500 เลยไม่มีคนตักน้ำพริก แผงมันก็เลอะเทอะ เปรอะเปื้อน ห้างเลยสั่งเก็บกลับจากทุกสาขาทั่วประเทศเลย เรายังไม่ทันฟื้น ก็ขาดทุนซะแล้ว หลัก ๆ เราได้เงินมาจากแม็คโคร พอไม่ได้ขาย เตี่ยก็ทวง ธนาคารก็ทวง สุดท้ายก็มีหมายศาลมา โอ๊ย จะทำยังไงน้อ ป้าเป็นหนี้อยู่ 22 ล้านมั้ง ก็เลยไปประนอมหนี้ บางสาขาที่ยังขายได้ เราก็เอาเงินไปใช้ดอกคนนู้นคนนี้ไป จนสุดท้ายเหลือหนี้แบงก์ 10 ล้าน แต่เหลืออีก 3-4 เดือนจะโดนยึด ยังไงเราก็ไม่มีปัญญาหาเงินแน่ ๆ ตอนนั้นจะล้มละลายแล้ว”
จุดนี้มาถึงวิกฤติแล้วป้าทำอย่างไรต่อ
“ป้าเขียนจดหมายถึงคุณตัน เอาที่อยู่จากบนขวดโออิชิเลย เขามาออกรายการข่าวเด่นเย็นนี้ของคุณสรยุทธ์บอกว่าจะช่วยเหลือสังคม กูนี่แหละสังคม คนไม่มีทางเลือกก็ทำทุกอย่างเพื่อให้รอด แต่เราไม่ได้ไปจี้ ไปปล้นเขาเท่านั้นแหละ”
ในจดหมายป้าเขียนว่าอะไร
“ป้าเขียนเล่าว่าเราเป็นใคร อยู่ที่ไหน ทำไมถึงเป็นหนี้ เขียน 2-3 หน้ากระดาษ ป้ามีที่ 100 ไร่จะยกให้คุณตันหมดเลย ขอเอาไว้แค่ 4-5 ไร่ แล้วกะจะขอตังค์แกด้วย เขียนไปจนเราลืม เขาไม่ติดต่อมาเลย ผ่านไป 4-5 วันมีผู้หญิงโทรมาตอนค่ำ ๆ บอกว่าคุณตัน ภาสกรนทีเชิญไปพบ ตันไหนวะ ไม่รู้ว่าเขาชื่อนี้ เรียกแต่ตัน โออิชิ”
ไปเจอคุณตันเป็นอย่างไรบ้าง
“7 สิงหาคม ปี 2553 โอ๊ย ดีใจทั้งน้ำตาเลย ไปพบเขาตอน 10 โมงครึ่ง เขาให้เวลาคุยแค่ครึ่งชั่วโมง แต่เราคุยถึงบ่ายสองเลย คุณตันบอกว่ามีหนี้อะไรบอกมาให้หมด เป็นหนี้ที่ไหน เป็นหนี้ใคร เราก็คุยไป ร้องไห้ไป คำถามนั้นมันเจ็บปวดนะ คุณตันเขาหันไปถามมือขวาของเขาว่าทำยังไงดี ลูกน้องแกก็บอกว่าต้องเข้าเซเว่นฯ พูดแค่นั้นคุณตันก็ยกหูถึงเซเว่นฯ เลย เราได้ยินคุณตันพูดว่าช่วยเอาน้ำพริกไปขายหน่อยดิ รับรองว่าอร่อยก็แล้วกัน พอป้ากลับบ้าน ป้าก็ไม่ได้มีหวังกับคุณตันหรอกนะ เพราะอีกไม่กี่เดือนก็จะโดนยึดแล้ว กว่าเขาจะมาชลบุรีก็คงอีกนาน”
“แต่อีกไม่กี่วันหลังจากนั้นเขาก็มาชลบุรีจริง ๆ มาดูนู่นดูนี่ พอกลับไปไม่กี่วันก็ส่ง QA ของแกและเซเว่นฯ มาดู แกไม่ช่วยเรื่องเงินนะ บาทเดียวแกก็ไม่ได้ให้ แต่แกช่วยให้เราเข้าเซเว่นฯ”
แล้วทีมงานของเซเว่นฯ ที่มาดูเขาว่าอย่างไรบ้าง
“โรงงานของเรามันเข้าเซเว่นฯ ไม่ได้ ต้องทำโรงงานใหม่ให้ได้มาตรฐาน ในใจตอนแรกป้าก็คิดนะว่าแบบนี้ไม่มีโอกาสได้ขายหรอก จะทำยังไงดี ด้วยความที่เรามีความพยายาม คิดแค่ว่าจะทำยังไงให้ได้ขาย ป้าก็พอมีญาติ ๆ เลยไปถามเขาว่ารู้จักคนทำมุ้งลวดบ้างไหม หาคนมาทำให้หน่อยสิ เขาก็ไปหาเพื่อนมาให้ เราบอกเขาว่าเราไม่มีตังค์นะ ทำให้ป้าก่อนได้ไหม ถ้าป้าได้ขายกับเซเว่นฯ แล้วป้าจะผ่อนใช้ เขาก็ทำให้จริง ๆ โรงงานแค่นั้นน่ะใช้เวลา 2 ปีกับ 3 เดือน ได้เงินมาก็ค่อยมาทำทีนึง จนเซเว่นฯ คิดว่าป้าไม่ขายแล้ว สุดท้ายได้ขายในปี 2555”
พอจะได้ขายในร้านเซเว่นแล้วป้าทำอย่างไรต่อ
“พอได้ขายแล้วไม่มีเงินซื้อของอีก โอ๊ย มีลูกมีเต้าอย่าให้ชื่อบังอร ชื่อป้าแว่นนะ ลำบากฉิบหาย จังหวะนั้นมีคนมาบอกว่าเดี๋ยวเขาซื้อกุ้ง ซื้อปลามาให้ เขาซื้อมา 140 คิดเรา 190 แถมคิดดอกเบี้ยอีก ถ้าเราส่งดอกเขาไม่ทันเขาปรับอีก เรากำลังจะตายก็คว้าทุกอย่างไว้ ตอนนั้นคิดไม่เป็นด้วย แค่ให้มันรอดชีวิตไปอีกหนึ่งวัน เลยเป็นหนี้อยู่ปีสองปี 8 ล้านบาท ก็ขายน้ำพริกจนรอด น้องโบว์ (วราวรรณ วันน้อย ลูกสาวคนโตของป้าแว่น ปัจจุบันเป็นกรรมการผู้จัดการ) ใช้หนี้ทั้งน้ำตาเลย ได้มาเท่าไหร่ก็ต้องใช้จนหมด ไม่ได้กิน ไม่ได้ใช้ พวกป้าไม่เที่ยวกันอยู่แล้ว”
“ช่วงแรก ๆ ก็ขายได้ แต่หนี้สินมันมากกว่ารายรับ ได้เงินมาก็เอาไปใช้หนี้ โดนเขากินดอกเบี้ยไปอีก โดนบวกกำไรเกิน เอาชีวิตเหลือกลับมาได้ก็ดีแล้ว”
น้ำพริกเมนูแรก ๆ ที่วางขายในร้านเซเว่นฯ มีอะไรบ้าง
“มี 5 ตัว เป็นน้ำพริกแมงดา ตาแดง กุ้งเสียบ นรกกุ้ง นรกแมงดา ตอนนั้นขายเป็นขวดนะ ยังไม่เป็นกระปุกแบบทุกวันนี้”
ความยากของการทำธุรกิจสเกลที่ใหญ่ขึ้นขนาดนี้คืออะไร
“มันไม่มีอะไรยากหรอก ยากที่ว่าคือจะเอาเงินที่ไหนลงทุน ตอนนั้นเรายังไม่มีที่ปรึกษา ทำการค้าต้องมีความรู้นะ เถื่อน ๆ อย่างป้าเนี่ยทำได้แค่ตำโป๊ก ๆ ถ้าเป็นน้ำพริกป้าแว่นทำได้ทุกอย่าง แต่ขายไม่เป็น ไม่มีขั้นตอน ไม่มีเป้าหมาย ขาดทุนก็ขาด กำไรไม่ต้องไปพูดถึงหรอก กระเซอะกระเซิงขนาดนั้น”
“พอทำไปเหมือนจะตัน น้ำพริกไม่ได้มีของเราคนเดียว มีไม่รู้ตั้งกี่เจ้า ใครเขาจะมานั่งกินแต่น้ำพริกป้าแว่นทุกวัน จากยอดที่ขายได้เป็นล้านก็ลดลงมาเหลือหลักแสน ป้าใจไม่ค่อยดีแล้ว เลยไปถามซินแส เขาบอกว่าจะมีคนมาช่วย เป็นคนจีน ลักษณะขาวเหลือง ตอนนั้นใครไปใครมาก็มองหาแต่คนผิวขาวเหลือง จนไปขอกับหลวงปู่ลี กุสลธโร ที่อุดรธานี ออกมายังไม่ไกลจากวัดเท่าไหร่ คุณสินชัย (สินชัย อัศวไกรกิจ ปัจจุบันเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาด) เขาก็โทรมาขายผงชูรส ตั้งแต่คุณสินชัยเข้ามามันก็เปลี่ยนไปเลย”
สถานการณ์ของธุรกิจพลิกกลับมาดีขึ้นได้อย่างไร
“ป้าก็บอกแกว่าอยากขายน้ำพริกสด เลยทำน้ำพริกเห็ดหอมเจเป็นน้ำพริกสดตัวแรก มันฮือฮา ไม่ค่อยมีคนทำน้ำพริกแบบนี้ คิดดูสิที่แม็คโคร ป้าเป็นคนแรกนะที่ขายน้ำพริกแกงแบบกะละมังถังแตก น้ำพริกสดก็ทำเป็นเจ้าแรก ๆ เลยทำให้ฝั่งน้ำพริกแห้งขายดีขึ้นด้วย ป้าคิดเรื่องสูตรอย่างเดียว ถ้ายอดมันลง เราก็หาตัวใหม่แทน”
น้ำพริกเจตัวแรกก็ดังเลย แล้วถ้าพูดถึงน้ำพริกเห็ด 3 อย่าง ล่าสุดที่โด่งดังป้ารู้สึกอย่างไรบ้าง
“รู้สึกดีใจ ลงไปสามวันหมด โดนด่าฉิบหาย (หัวเราะ) เราบอกให้เขาลองหาดูว่าสาขาอื่นมีไหม เขาก็ด่าบอกว่าไปหามาแล้ว 5 สาขา ไม่มีสักที่ บางคนโทรหาป้าบอกว่าตามหามา 2 ปีแล้ว ซื้อไม่ทัน บ้างก็บอกว่าทำไมไม่ทำขายทั้งปี ตอนนี้ทางเซเว่นคงเห็นว่าคนบ่นกันเยอะ เลยเรียกให้ทำอีกรอบ จริง ๆ เราเองทำขายเองทั้งปีเราก็ทำได้ แต่ผู้จัดจำหน่ายเขาก็มีช่วงเวลาของเขา เอาไว้ขายช่วงเทศกาล โอ๊ย แล้วจะทำยังไง ป้าบอกไปเลยว่าใครอยากกินมาที่โรงงานนี่ เขาก็เบรกป้าว่าอย่านะ เดี๋ยวมากันจริง ๆ เอ้า มาจริงก็เลี้ยงจริงไง จะเป็นไรไปล่ะ (หัวเราะ)”
ป้ามีเคล็ดลับอะไรที่ทำให้น้ำพริกอร่อยจนขายดิบ ขายดีขนาดนี้
“จะมีอะไรวะ ก็มีแต่ว่าทำให้คนกินน่ะ ไม่ได้ทำอาหารปลา จะให้เขากินหนเดียวแล้วบอกไม่กินอีกแล้วอีเจ้านี้ แบบนี้ไหม มันต้องใส่ทั้งใจ ทั้งจิตวิญญาณ เวลาป้าตำน้ำพริก แล้วมาชวนคุย เตลิดเลยนะ ใส่มะนาวแล้วยังวะ ใส่น้ำตาลแล้วยังนะ มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เวลาทำต้องใจต้องจดจ่อ ตำร้อยครกก็ต้องจดจ่อร้อยครก”
“เวลาป้าทำอาหารป้าไม่ชิมนะ ต้องวัดกันเลยว่ามือเราแม่น เคยทดสอบกับพนักงานหลายรอบ ป้าคว้าพริกมาให้ชั่งดูสิว่าโลครึ่งไหม ออกมาโลครึ่งเว้ย แต่ถ้าไม่โลครึ่งนี่เราหมาแท้ ๆ เลย (หัวเราะ) ป้าว่ามันอยู่ที่น้ำหนักมือ อยู่ที่ใจ แต่เราให้คนที่อยู่ด้วยชิมแทนทุกคน แล้วถือคติคนส่วนใหญ่เป็นเอกฉันท์ บางครั้งป้าทำแล้วเอาไปให้คนที่โรงงานชิมแล้วโหวต เราเชื่อมือเราอยู่แล้วแหละ แต่ก็ยังต้องหาความชัดเจนกับพนักงาน มันต้องมีคนบอกเค็มบ้าง หวานบ้าง อร่อยกี่คน ไม่อร่อยกี่คน ไม่ต้องเกรงใจ บอกมาได้เลย นี่คือสิ่งที่ป้าปฏิบัติทุกครั้งที่ทำสินค้าตัวใหม่ขึ้นมา”
ตอนนี้น้ำพริกป้าแว่นดำเนินไปอย่างมั่นคงแล้ว จากนี้ป้าอยากทำอะไรต่อ
“อยากส่งออกว่ะ เราไม่เคยคิดจริง ๆ ว่าจะมาถึงตรงนี้ เจอมาหมด เลยความตายมาแล้ว ทุกวันนี้หันกลับมองไปข้างหลัง จากคนไม่มีอะไรเลย มีแต่ตัว สมอง และสองมือ ป้าคิดคนเดียวมาตลอด จนทุกวันนี้ป้าส่งต่อให้น้องโบว์และคุณสินชัย เลยคิดว่าถ้าทำมาถึงขนาดนี้แล้วก็น่าจะไปให้สุด แค่ได้ส่งออกพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นแบรนด์ป้าแว่นเท่านั้น ใครอยากติดต่อมาทำแบรนด์ตัวเอง ป้าทำให้ได้”
“ถ้าไม่มีคนสืบทอดจริง ๆ ต่อไปจะมีคนรู้จักน้ำพริกหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ”
บทสนทนาสัพเพเหระดำเนินไปเรื่อย ๆ บนโต๊ะม้าหินอ่อนที่เต็มไปด้วยสำรับกับข้าว ป้าแว่นบอกว่าเรื่องธุรกิจน้ำพริกจะให้เล่าทั้งวันก็คงไม่จบ เพราะกว่าจะมีวันนี้ได้ แกล้มลุกคลุกคลาน ฝ่าฟันอุปสรรคมานับไม่ถ้วน และเมื่อเอ่ยปากถามถึงน้ำพริกตัวใหม่ที่กำลังจะวางขาย ป้าแว่นไม่พูดพร่ำทำเพลง ยกกะละมังน้ำพริกที่กำลังพัฒนาสูตร พร้อมข้าวสวยอุ่น ๆ มาให้ชิม จึงเอ่ยถามป้าไปว่าไม่กลัวความลับหลุดหรอกหรือ ป้าแว่นตอบอย่างสบายใจว่า
“รู้ไปสิ ที่ตำ ๆ อยู่เนี่ยจะไปซื้อได้ที่ไหน ไม่มีใครทำเหมือนป้าหรอก”
สั่งซื้อ ‘น้ำพริกป้าแว่น’ ได้ที่
ช่องทางออนไลน์ : น้ำพริกป้าแว่น By ป้าแว่น , Lazada, shopee
ห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อ : 7-11 (Seven Eleven), Tops Market, Tops Daily, CTJ และ Lotus