

สักครั้งในชีวิต ชมพระอาทิตย์เที่ยงคืน ท่องเที่ยว ‘นอร์เวย์’ ดินแดนสีเขียวและเมืองแห่งความเท่าเทียม
Travel / World
14 Jun 2024 - 10 mins read
Travel / World
SHARE
14 Jun 2024 - 10 mins read
เมื่อพูดถึงประเทศนอร์เวย์ คุณนึกถึงอะไร ?
อ่าวฟยอร์ด ไวกิ้ง แสงเหนือ พระอาทิตย์เที่ยงคืน ฯลฯ คำตอบเหล่านี้บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของนอร์เวย์ในแง่ความหลากหลายทางธรรมชาติอันงดงาม และมีสีสันไม่ซ้ำกันในแต่ละฤดูกาล
โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่กินระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 3 เดือน ระหว่างเดือนมิถุนายน ถึง สิงหาคม ที่ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการสังสรรค์และเฉลิมฉลองของชาวนอร์เวย์ ด้วยความที่มีช่วงเวลากลางวันยาวนาน โดยพระอาทิตย์แทบจะไม่ตกดินเลย ผู้คนจึงสามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งได้ตลอดทั้งวัน ทั้งยังเป็นโอกาสอันดีในการชมปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืนอีกด้วย
วิถีชีวิตกลางแจ้งของชาวนอร์เวย์
นอกจากนี้ นอร์เวย์ยังเป็นดินแดนแห่งความหลากหลายในแง่ของการมีผู้คนหลากเชื้อชาติตั้งถิ่นฐานอาศัยอยู่ร่วมกันมาอย่างยาวนาน นอร์เวย์จึงมักติดโผ 1 ใน 10 ประเทศที่มีความเสมอภาคมากที่สุดในโลก ที่นี่จึงเป็นดินแดนที่เปิดกว้างสำหรับนักท่องเที่ยวทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ ไปจนถึงนักเดินทางหญิงเดี่ยว ที่สามารถแบกเป้ตะลุยเที่ยวนอร์เวย์ได้
LIVE TO LIFE ชวนแพ็กกระเป๋าลัดฟ้าไปสัมผัสแดดอุ่นในฤดูร้อนของนอร์เวย์ ผ่านสารพัดกิจกรรมกลางแจ้งที่เหมาะกับทั้งคนรักการผจญภัย นักเดินทางสายโรแมนติก คนชอบกีฬาเอ็กซ์ตรีม ฯลฯ ที่สามารถสัมผัสเสน่ห์ของดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืนได้ในเมืองแห่งความเสมอภาคนี้
สีสันของบ้านเรือนในนอร์เวย์
เช็กอินกรุงออสโล
สัมผัสวิถีชีวิตกลางแจ้งในแบบนอร์วีเจียน
เมืองหลวงของประเทศนอร์เวย์อย่าง กรุงออสโล นั้นได้ชื่อว่าเป็นปอดของยุโรปก็ว่าได้ เพราะพื้นที่กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของเมืองเป็นพื้นที่สีเขียวของป่าสงวน ภูเขา สวนสาธารณะ ทะเลสาบ ฯลฯ ผู้คนที่นี่จึงนิยมใช้ชีวิตกลางแจ้งเป็นส่วนใหญ่ จนเกิดเป็นค่านิยมที่มีชื่อเรียกในภาษานอร์วีเจียนว่า ฟรี-ลุฟสต์-ไลฟ์ (Friluftsliv) ที่มีความหมายว่า Open-air Living ซึ่งจะยิ่งเห็นได้ชัดเจนในช่วงฤดูร้อนที่ผู้คนนิยมออกจากบ้านมาทำสารพัดกิจกรรม ตั้งแต่เดินเล่น วิ่งออกกำลังกาย ว่ายน้ำ พายเรือ นอนอาบแดด ชมการแสดงดนตรีในสวน กินดื่มสังสรรค์ด้วยความเบิกบานใจท่ามกลางแสงตะวันที่อาบเมืองแบบรำไรทั้งวันทั้งคืน
ฤดูร้อนในนอร์เวย์
โดยเฉพาะในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองความเท่าเทียมทางเพศ กรุงออสโลจึงมีธรรมเนียมในการจัดงาน Oslo Pride ที่จัดขึ้นต่อเนื่องยาวนาน และครบ 50 ปีในปี 2024 นี้ โดย Oslo Pride ถือเป็นเทศกาลของชาว LGBTIQ+ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศนอร์เวย์ โดยในปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-29 มิถุนายน
Oslo Pride เต็มไปด้วยกิจกรรมสนุกให้ร่วมทำมากมาย ทั้งคอนเสิร์ต งานแสดงโชว์ต่าง ๆ การจัดฉายภาพยนตร์ งานแสดงนิทรรศการ ศิลปะ ปาร์ตี้ แถมยังมีการแข่งโต้วาที สมกับเป็นดินแดนแห่งความเสมอภาคอย่างแท้จริง และห้ามพลาดสีสันของงานพาเหรด Pride Parade ในวันสุดท้าย (วันที่ 29 มิถุนายน) ที่เต็มไปด้วยสีสันแห่งความสนุกตามแบบฉบับชาวนอร์วีเจียน
ดูรายละเอียดกิจกรรมงาน Oslo Pride ได้ทาง www.oslopride.no
แต่ถึงจะไม่ใช่เดือนแห่งการเฉลิมฉลอง การท่องเที่ยวในกรุงออสโลก็เต็มไปด้วยสีสันในตัวเองในทุกฤดูกาล ทั้งยังเดินทางได้สะดวกหลากหลายรูปแบบ จะปั่นจักรยาน นั่งรถเมล์ หรือเดินก็สามารถทำได้สบาย ๆ เพราะอากาศเป็นใจ และด้วยความที่แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ในกรุงออสโลอยู่ไม่ไกลกัน จึงสามารถเที่ยวได้เพลิน ๆ ในหนึ่งวัน
วิกเกอร์แลนด์ พาร์ค (Vigeland Park)
เริ่มด้วยการไปเยือน วิกเกอร์แลนด์ พาร์ค (Vigeland Park) สวนประติมากรรมกลางแจ้งใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ใน Frogner Park สวนสาธารณะที่ชาวออสโลนิยมไปพักผ่อนหย่อนใจในบรรยากาศที่แวดล้อมด้วยรูปแกะสลักหินและรูปหล่อสำริดกว่า 200 ชิ้นงาน ที่ตีแผ่ความหลากหลายของมนุษย์ผ่านอิริยาบถต่าง ๆ ผลงานทุกชิ้นสร้างสรรค์โดย กุสตาฟ วิกเกอร์แลนด์ (Gustav Vigeland) ประติมากรชาวนอร์เวย์
เสาโมโนลิทและรูปปั้นมนุษย์รอบฐาน
แลนด์มาร์กประจำสวนประติมากรรมแห่งนี้ ได้แก่ เสาโมโนลิท (Monolith) ที่สวยงามแปลกตาด้วยเอกลักษณ์ของรูปปั้นมนุษย์ที่เปลือยเปล่ากำลังปีนป่ายเหยียบกันขึ้นไปยังยอดเสา ที่เปรียบเหมือนจุดสูงสุดของชีวิตนั่นเอง บริเวณโดยรอบประดับปูนปั้นหินแกรนิตแสดงถึงอากัปกิริยาและความสัมพันธ์ของมนุษย์ในแต่ละวัย
ไปเดินเล่นริมชายฝั่งทะเลในตัวเมืองออสโลกันต่อ โดยตลอดแนวชายฝั่งถูกปรับให้เป็นทางเดินเท้าที่สะดวกสบายและเชื่อมโยงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ในบริเวณนี้ หรือหากไม่สะดวกเดิน สามารถนั่งรถรางที่ให้บริการตลอดแนวเส้นทางนี้
Oslo Opera House
เริ่มปักหมุดเที่ยวริมน้ำกันที่ Oslo Opera House โรงอุปรากรหลักประจำเมืองออสโล ที่มีการจัดแสดงโอเปราและบัลเลต์เป็นหลัก ตัวอาคารมีลักษณะเป็นทางเดินราบที่ค่อย ๆ สูงขึ้นไปจนถึงด้านบนหลังคาอาคารที่เป็นลานกว้าง ดังนั้น ถึงไม่ได้ตั้งใจมาชมโอเปราหรือบัลเลต์ก็สามารถมาเดินเล่น อาบแดด พักผ่อนหย่อนใจ ณ โรงอุปรากรดีไซน์เก๋แห่งนี้ได้โดยทั่วกัน
Munch Museum
ไปต่อกันที่ Munch Museum พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งใหม่ประจำกรุงออสโล ที่รวบรวมประวัติและผลงานของ เอ็ดวัด มุงก์ (Edvard Munch) จิตรกรชื่อดังชาวนอร์เวย์เจ้าของผลงาน The Scream อันโด่งดัง มาจัดแสดงไว้ในอาคารสไตล์โมเดิร์นแห่งนี้ รวมถึงงานของศิลปินคนอื่น ๆ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากมุงก์ก็รวบรวมมาจัดแสดงไว้ที่นี่เช่นกัน ด้วยความที่ตัวอาคารพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีความสูงมากเมื่อเทียบกับอาคารแห่งอื่น ๆ ในออสโล ทำให้ที่นี่เป็นจุดชมวิวชั้นดีที่สามารถมองวิวเมืองออสโลและความงดงามของอ่าวฟยอร์ดได้กว้างไกลสุดสายตา
Munch Museum
ค่าเข้าชม : ผู้ใหญ่ 180 NOK เด็กอายุ 18-25 ปี 100 NOK เด็กอายุต่ำกว่า 17 ปีเข้าฟรี
เปิดบริการ : วันอาทิตย์ - วันอังคาร เวลา 10.00-18.00 น. วันพุธ - วันเสาร์ เวลา 10.00 - 21.00 น.
Website : www.munchmuseet.no
ป้อมปราการอาเกิชฮืส (Akershus Fortress)
ปิดท้ายชมเมืองออสโลด้วยการไปเยือน ป้อมปราการอาเกิชฮืส (Akershus Fortress) ปราสาทและป้อมปราการเก่าแก่ที่อยู่คู่กรุงออสโลมาอย่างยาวนาน ภายในมีพิพิธภัณฑ์ทางการทหาร Norwegian Armed Force Museum และมีอาวุธยุโธปกรณ์ต่าง ๆ ตั้งให้เห็นในบางพื้นที่ บรรยากาศโดยรวมถือเป็นอีกหนึ่งสเปซกลางแจ้งที่ชาวเมืองนิยมมาอาบแดด พักผ่อนหย่อนใจในชีวิตประจำวัน โดยในฤดูร้อนจะมีการจัดแสดงละคร ดนตรี และงานรื่นเริงต่าง ๆ ขึ้นในสวนรอบ ๆ ป้อมปราการ
ป้อมปราการอาเกิชฮืส (Akershus Fortress)
ค่าเข้าชม :เข้าชมฟรี
เปิดบริการทุกวัน เวลา 06.00 - 21.00 น.
ชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนที่นอร์ดแคปป์
ดินแดนที่สว่างตลอด 24 ชั่วโมง
แม้การไปเที่ยวนอร์เวย์ในช่วงฤดูร้อนจะทำให้ได้สัมผัสปรากฏการณ์พระอาทิตย์เที่ยงคืนเกือบทุกวันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในกรุงออสโลหรือเมืองใดก็ตาม แต่ถึงอย่างไรก็ควรหาโอกาสไปชมความงดงามของปรากฏการณ์นี้แบบชัด ๆ ณ จุดชมวิวขึ้นชื่อของนอร์เวย์ ซึ่งมักอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ เช่น หมู่เกาะโลโฟเทน (Lofoten) เมืองทรูมเซอร์ (Tromso) และ นอร์ดแคปป์ (North Cape)
พระอาทิตย์เที่ยงคืนที่เมืองทรูมเซอร์ (Tromso)
บทความนี้ขอแนะนำบรรยากาศการชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนที่นอร์ดแคปป์ (North Cape) ซึ่งตั้งอยู่บนเกาะมาเกโรยา (Magerøya) ที่ระดับความสูง 307 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล จุดชมวิวด้านบนของนอร์ดแคปป์มีลูกโลกจำลองตั้งเด่นเป็นสัญลักษณ์ ประสบการณ์ชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนที่นี่จึงมีทิวทัศน์ของท้องฟ้าและมหาสมุทรกว้างไกลสุดสายตาเป็นฉากหลัง ให้กับพระเอกอย่างอาทิตย์ได้เผยแสงละมุนยามเที่ยงคืน
พระอาทิตย์เที่ยงคืนที่นอร์ดแคปป์ (North Cape)
นอร์ดแคปป์เป็นสถานที่ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และคณะ เสด็จประพาสเมื่อครั้งเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ.2450 และได้ทรงจารึกพระปรมาภิไธย จปร. ไว้บนก้อนหิน ซึ่งปัจจุบันหินสลักพระปรมาภิไธยย่อ จปร. ได้รับการสงวนรักษาไว้อย่างดีภายในบริเวณโถงด้านหน้าของอาคารรับรองนักท่องเที่ยวของนอร์ดแคปป์
อีกหนึ่งบรรยากาศการชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนที่นอร์ดแคปป์ (North Cape)
พิชิต Trolltunga
ชมวิวฟยอร์ดบนหินผาสุดท้าทาย
ด้วยความที่วิถีชีวิตของคนนอร์เวย์อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติอย่างแยกไม่ออก การไปเดินป่าเดินเขาจึงเป็นกิจกรรมยอดนิยมของคนทุกเพศทุกวัย ถึงขั้นที่ว่ามิติความหลากหลายทางเพศของชาวนอร์เวย์สามารถแยกย่อยไปถึงประเภทของคนที่รักการเดินป่าได้อีกด้วย โดยมีชื่อเรียกผู้ชายที่ชอบผู้ชายรักการเดินป่าว่า Fjellgruppen และ Lesbisk Turlag หมายถึง ผู้หญิงที่ชอบผู้หญิงรักการเดินป่า
นอกจากนี้ The Norwegian Trekking Association สมาคมเดินป่าของนอร์เวย์ได้จัดกิจกรรมต่าง ๆ ที่ส่งเสริมให้การเดินป่าในนอร์เวย์ให้สนุกมีสีสันยิ่งขึ้น เช่น อีเวนต์ #helenorgedaterute เมื่อ ปี ค.ศ. 2018 แฮ็ชแท็กนี้มีความหมายว่า “The Whole Country is Dating in the Great Outdoors” เป็นการเชิญชวนผู้คนให้ออกไปเดินป่าเพื่อสานสัมพันธ์ ทำความรู้จัก หรือออกเดตท่ามกลางธรรมชาติ
The Norwegian Trekking Association ยังได้ผลิตหมวกบีนนี่หลากสีสำหรับให้ผู้ที่สนใจเลือกใส่ไปเดินเฉิดฉาย เผื่อเจอคู่ที่ถูกใจขณะเดินป่า เช่น Pride Beanie หมวกสีรุ้งสำหรับ LGBTIQ+ หมวกสีส้มสำหรับคนที่เปิดรับการพูดคุยกับคนใหม่ๆ หมวกสีเขียวสำหรับคนโสด ซึ่งพิเศษตรงที่ด้านในทำเป็นสีแดง (หมายถึง มีคนคุยแล้ว) ซึ่งหากกำลังเดินเขาแล้วเจอคนที่ถูกใจจนถึงขั้นเปลี่ยนสถานะ สามารถพลิกหมวกเป็นสีแดงโชว์สถานะใหม่ได้ทันที
สำหรับเส้นทางเดินป่าในนอร์เวย์นั้นมีหลากหลายมาก จนสามารถกล่าวได้ว่าใครถูกใจภูเขาลูกไหน ก็สามารถเริ่มออกเดินได้ทันที แต่ถ้าจะให้แนะนำเส้นทางเดินป่าที่เมื่อไปถึงจุดหมายปลายทางแล้วคุ้มค่าต่อใจ ต้องไม่พลาด Trolltunga สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมประจำเมือง Odda ในมณฑล Hardanger ทางตะวันตกของประเทศนอร์เวย์
ทิวทัศน์ในเมือง Odda
Trolltunga ในภาษานอร์เวย์ แปลว่า “ลิ้นของโทรลล์” (Troll’s Tongue) ตามลักษณะของพื้นที่ที่เป็นแผ่นหินบางยื่นออกจากหน้าผา ที่ระดับความสูง 2,300 ฟุต (700 เมตร) เหนือทะเลสาบ Ringedalsvatnet ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Sørfjorden Fjord แน่นอนว่า ใครก็ตามที่พิชิตภูผาลิ้นโทรลล์สำเร็จ ก็จะได้ชื่นชมความงามของฟยอร์ดสุดอลังการเป็นรางวัลแห่งความพยายาม
Trolltunga
การเดินทางไปยัง Trolltunga เริ่มจากการนั่งรถบัส Trolltunga Shuttle ไปยังจุดเริ่มเดินเขา สามารถเลือกได้ว่าจะเริ่มต้นออกเดินเท้าจากหมู่บ้าน Skjeggedal ระยะทางไป-กลับ 28.6 กิโลเมตร หรือนั่งรถต่อไปอีกนิด แล้วลงที่ Mågelitopp เพื่อออกเดินเท้าในระยะทางที่สั้นกว่า ระยะทางไป-กลับรวม 20 กิโลเมตร ชมความงามของทิวทัศน์ขุนเขาและทะเลสาบเพลิน ๆ (รวมระยะเวลาเดินไป-กลับประมาณ 7- 10 ชั่วโมง) หรือใครสนใจจะค้างคืนบน Trolltunga ก็มีที่พักในแบบ Glamping ไว้รองรับความต้องการ
ข้อมูลเพิ่มเติม https://trolltunga.com/
เช็คตารางเวลารถบัสและซื้อตั๋วออนไลน์ได้ทาง www.nor-way.no
นั่งรถไฟสาย Flamsbana
เส้นทางสวยโรแมนติกที่สุดในนอร์เวย์
หนึ่งในเส้นทางท่องเที่ยวสัมผัสธรรมชาติของนอร์เวย์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก มีชื่อว่า Norway in a Nutshell โดยสามารถซื้อทัวร์สำเร็จรูปแบบเที่ยววันเดียวจบก็ได้ หรือจะเลือกออกแบบเส้นทางเอง เพื่อแวะพักตามเมืองต่าง ๆ แบบไม่รีบร้อนก็ได้ โดยหลัก ๆ แล้วการเดินทางในเส้นทาง Norway in a Nutshell จะผสมผสานการเดินทางหลายรูปแบบ ทั้งรถไฟ รถบัส และเรือ เพื่อชมทิวทัศน์ตลอดสองข้างทางของประเทศนอร์เวย์อย่างใกล้ชิด
ไม่ว่าจะเลือกซื้อทัวร์หรือออกแบบเส้นทางเอง หนึ่งในจุดหมายที่มักจะอยู่ในเส้นทาง Norway in a Nutshell คือ การเดินทางด้วยรถไฟสาย ฟลัมสบานา (Flamsbana) ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นเส้นทางรถไฟสวยที่สุดในนอร์เวย์ และเป็นหนึ่งในทางรถไฟที่สูงชันที่สุดในโลก ถือเป็นต้นแบบของวิศวกรรมรางรถไฟที่น่าทึ่ง ทั้งการสร้างทางรถไฟลัดเลาะขึ้นไปตามภูเขาสูงชัน และการเจาะอุโมงค์ผ่านภูเขาโดยไม่ต้องระเบิดภูเขาทิ้ง โดยเส้นทางรถไฟฟลัมสบานาเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1940
ขบวนรถไฟสายฟลัมสบานา (Flamsbana)
เริ่มต้นออกเดินจากออสโลโดยนั่งรสบัสหรือรถไฟ ใช้เวลาราว 6-7 ชั่วโมง เพื่อไปลงยังสถานีไมร์ดัล (Myrdal) จากนั้นค่อยเปลี่ยนไปขึ้นขบวนรถไฟฟลัมสบานา ที่ไม่มีการจองตั๋วที่นั่งล่วงหน้า ใครขึ้นก่อนมีสิทธิเลือกที่นั่งริมหน้าต่างเพื่อชมวิวก่อนใคร ตัวขบวนรถไฟสายฟลัมสบานานั้นสวยคลาสสิค โดยใช้หัวรถจักรแบบโบราณ ด้านนอกทาสีเขียว เบาะนั่งด้านในเป็นสีแดง นุ่มสบาย มีหน้าต่างขนาดใหญ่ให้ได้ซึมซับความสวยงามของวิวสองข้างทางอย่างเต็มที่
แรกเริ่มเดิมทีจุดประสงค์การสร้างรถไฟสายนี้คือ เพื่อเป็นรถไฟท้องถิ่นให้คนพื้นที่เดินทางจากที่ราบขึ้นไปถึงด้านบนเขาได้ เพราะไมร์ดัลอยู่สูง 866 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นเมืองที่ไม่มีถนนขึ้นไป เข้าถึงได้เฉพาะรถไฟเท่านั้น
ปัจจุบันเส้นทางรถไฟสายนี้ได้เปลี่ยนเป็นรถไฟนำเที่ยว โดยจอดให้ผู้โดยสารขึ้น – ลงแค่ที่สถานีฟลัมและสถานีไมร์ดัล ระยะทางรวม 20 กิโลเมตร ลัดเลาะไปในภูเขาสูงผ่านช่องลึกของเขาและป่าไม้ ลอดผ่านอุโมงค์เป็นช่วง ๆ มากถึงกว่า 20 อุโมงค์ โดยช่วงที่ยาวที่สุดมีความยาวถึง 1,300 เมตร และเมื่อถึงสถานีน้ำตกจอสฟอสเซ่น (Kjosfossen) รถไฟจะจอดประมาณ 10 นาทีให้นักท่องเที่ยวลงไปบริเวณจุดชมวิวเพื่อถ่ายรูป ชื่นชมความสวยงาม และสัมผัสความชุ่มฉ่ำจากละอองน้ำของน้ำตกขนาดใหญ่ที่มีความสูงถึง 225 เมตร
บรรยากาศหมู่บ้านฟลัม (Flam)
ก่อนจะมาจบที่ไฮไลท์อย่างการแล่นผ่านหมู่บ้านฟลัม (Flam) เมืองที่อยู่ปลายสุดของฟยอร์ด ณ ปากแม่น้ำฟลัม (Flam River) ที่ล้อมรอบด้วยหุบเขาสลับซับซ้อน มีกลุ่มของบ้านไม้สีสันสดใสทั้งสีขาว สีแดง สีเหลือง และสีเขียว ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของบ้านชาวประมงนอร์เวย์แต่งแต้มสีสันให้เมืองแฟลมน่ารักราวกับเมืองตุ๊กตา
ใครถูกใจบรรยากาศสงบสวยงามของเมืองฟลัม สามารถแวะค้างคืนที่นี่ได้ โดยมีโรงแรมให้บริการหลายแห่ง เต็มอิ่มกับการพักผ่อนท่ามกลางขุนเขาเป็นที่เรียบร้อยค่อยออกเดินทางต่อ ด้วยการนั่งเรือล่องชมวิวฟยอร์ดไปเรื่อย ๆ จนถึงปลายทางที่เมือง Gudvangen แล้วนั่งรถบัสต่อไปยังเมืองโวส (Voss) อีกหนึ่งจุดหมายที่เหมาะกับการสัมผัสเสน่ห์ที่แท้จริงของฤดูร้อนในนอร์เวย์
ดูรายละเอียดการเดินทางไปยังเมืองฟลัมได้ที่ www.visitflam.com
ซื้อตั๋วรถไฟได้ทาง www.nsb.no
อะดรีนาลีนสูบฉีดที่ Voss
เมืองหลวงแห่งกีฬาเอ็กซ์ตรีม
โวส (Voss) ขึ้นชื่อว่าเป็น Norway’s Adrenaline Capital เพราะเป็นหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยกิจกรรมเอ็กซ์ตรีมครบทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นล่องแก่ง ปั่นจักรยานเสือภูเขา Skydiving สกี หรือจะขึ้นกระเช้าลอยฟ้า Voss Gondola ขึ้นไปยังจุดชมวิวบนยอดเขาสูง 820 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ณ Mount Hanguren ที่มีเส้นทาง Hiking ให้คนรักป่าเขาได้เลือกเดินสำรวจธรรมชาติได้ตามชอบใจ
บรรยากาศในเมืองโวส (Voss)
โวสเป็นเมืองจิ๋วแต่แจ๋วที่บ่มเพาะนักกีฬาฝีมือดีให้สร้างชื่อเสียงแก่ประเทศนอร์เวย์ในการคว้าเหรียญรางวัลกว่า 100 เหรียญจากการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติหลายรายการ ซึ่งนักท่องเที่ยวอย่างเราสามารถสัมผัสความมีชีวิตชีวาของเมืองโวสได้เต็มที่ในช่วงฤดูร้อน โดยเฉพาะในเดือนมิถุนายนที่ทั้งเมืองจะแปลงโฉมเป็นสถานที่จัดเทศกาลกีฬาเอ็กซ์ตรีมที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Extreme Sport Veko หรือ Veko ที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1998 โดยในปีนี้ Veko จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 - 30 มิถุนายน
การไปเยี่ยมชมงานนี้ไม่ได้หมายถึงแค่การไปชมและเชียร์การแข่งขันกีฬาเอ๊กซ์ตรีมเท่านั้น แต่เต็มไปด้วยกิจกรรมให้ทุกคนได้ร่วมสนุก วัดใจ และท้าทายความสามารถมากมาย บางกิจกรรมก็แปลกใหม่น่าลอง เช่น Riverboard ท้าทายกระแสน้ำด้วยการนอนทรงตัวบนบอร์ดขนาดพอดีตัว Waterfall Rappelling โรยตัวด้วยเชือกเคียงข้างธารน้ำตก หรือจะลองหัดกระโดดน้ำสไตล์นอร์วีเจียนที่เรียกกันว่า Døds ที่กำลังได้รับความนิยมขึ้นเรื่อย ๆ ก็ท้าทายอะดรีนาลีนในตัวดีไม่น้อย
บัตรเข้างาน VEKO ราคาเริ่มต้นที่ 490 NOK
รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ www.ekstremsportveko.com
อ้างอิง
- www.visitnorway.com
- www.visitoslo.com
- ฉันทิชย์ คงฉันท์มิตรกุล.เดินเที่ยวริมฝั่งทะเลในเมืองออสโล.https://bit.ly/4dWKaQP
- Mushroomtravel.พระอาทิตย์เที่ยงคืน นอร์เวย์ ปรากฏการณ์สุดแปลก ที่รอให้คุณไปพิสูจน์.https://bit.ly/3UVV7JP