ว่ายน้ำกับโลมา เริงร่ากับจิงโจ้และโคอาล่าที่ Kangaroo Island สถานที่น่าเที่ยวแห่งปี 2024

03 Jan 2024 - 10 mins read

Travel / World

Share

ประเทศออสเตรเลียเป็นจุดหมายในการท่องเที่ยวอันดับต้น ๆ ที่คนไทยนิยมปักหมุดไปเยือน ซึ่งส่วนมากเมืองที่หลายคนนึกถึงมักเป็นเมืองใหญ่ ๆ อย่างซิดนีย์ เมลเบิร์น บริสเบน ฯลฯ ในขณะที่ประเทศนี้มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลจนมีสถานะเป็นทวีป เต็มไปด้วยเมืองน้อยใหญ่และเกาะแก่งที่น่าสนใจ ให้เลือกเดินทางไปสัมผัสเสน่ห์ของประตูสู่ซีกโลกใต้

 

หนึ่งในจุดหมายที่ LIVE TO LIFE ขอแนะนำ คือ Kangaroo Island เกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของออสเตรเลีย ตั้งอยู่ไม่ไกล แอดิเลด เมืองหลวงของรัฐเซาท์ออสเตรเลีย เมืองนอกสายตาที่หลายคนมองข้าม แต่กลับเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวครบครัน ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์

 

นอกจากนี้ ความพิเศษของ Kangaroo Island คือเพิ่งได้รับการจัดอันดับจาก Lonely Planet ให้เป็นภูมิภาคน่าท่องเที่ยวที่สุดเป็นอันดับ 2 จากทั้งหมด 9 ภูมิภาคทั่วโลกประจำปี 2024 ด้วยเหตุผลสั้น ง่าย ได้ใจความว่า “Kangaroo Island นำเสนอแก่นแท้แห่งประสบการณ์ท่องเที่ยวออสเตรเลียอย่างแท้จริง”

 

มาสำรวจไปพร้อมกันว่าอะไรคือแก่นแท้แห่งประสบการณ์ท่องเที่ยวออสเตรเลียที่รวมเอาไว้ครบจบทุกไลฟ์สไตล์บนเกาะจิงโจ้แห่งนี้

 

 

ทำไมถึงชื่อ Kangaroo Island

Kangaroo Island หรือที่คนออสเตรเลียเรียกสั้น ๆ ว่า KI มีชื่อเป็นภาษาอะบอริจินส์ว่า Karta แปลว่า เกาะแห่งความตาย เนื่องจากสภาพภูมิประเทศบนเกาะนั้นยากแก่การที่มนุษย์จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นลมแรงและมีน้ำจืดปริมาณจำกัด ทำให้ผู้คนพากันอพยพออกไปจากเกาะ เหลือไว้แต่บรรดาสัตว์ท้องถิ่น โดยเฉพาะจิงโจ้ที่สามารถปรับตัวเข้ากับธรรมชาติได้เป็นอย่างดี และขยายเผ่าพันธุ์จนแทบจะกลายเป็นเจ้าของเกาะไปโดยปริยาย 

 

ต่อมาเมื่อ กัปตันแมทธิว ฟลินเดอร์ส (Matthew Flinders) และลูกเรืออีก 94 ชีวิต เดินทางมาค้นพบเกาะขนาดใหญ่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองแอดิเลดแห่งนี้ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1802 เมื่อครั้งที่พวกเขาทำการสำรวจบริเวณชายฝั่งทางตอนใต้ของออสเตรเลียเพื่อทำแผนที่ และด้วยความที่บนเกาะเต็มไปด้วยประชากรจิงโจ้ เกาะแห่งนี้จึงได้รับการขนานนามว่า Kangaroo Island นับแต่นั้นมา

กิจกรรมให้อาหารจิงโจ้

 

ด้วยข้อจำกัดทางธรรมชาติทำให้การใช้ชีวิตที่นี่ไม่สะดวกสบายเท่าไรนัก ดังนั้น แม้ Kangaroo Island จะเป็นที่รู้จักมานานกว่า 200 ปี ทว่าปัจจุบันกลับมีประชากรอาศัยอยู่บนเกาะที่มีขนาดใหญ่กว่า 4,416 ตารางกิโลเมตรแห่งนี้เพียง 5,000 คนเท่านั้น ซึ่งก็เป็นข้อดีที่ทำให้ประชากรจิงโจ้ โคอาล่า วัลลาบี ตัวกินมดหนาม สิงโตทะเล โลมา และสัตว์ท้องถิ่นอีกหลายชนิดได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระ จนมีการเรียกขาน Kangaroo Island ว่าเป็นสวนสัตว์เปิดที่ไร้รั้วรอบขอบชิดขนานแท้

 

แต่น่าเสียดายที่เหตุการณ์ไฟป่าครั้งรุนแรงเมื่อปี ค.ศ. 2019 - 2020 ส่งผลให้สัตว์ท้องถิ่นจำนวนมาก รวมถึงพื้นที่ป่าส่วนใหญ่บน KI ถูกทำลายไปพร้อมกับเปลวเพลิงกินพื้นที่กว่า 38 เปอร์เซ็นต์ของเกาะ ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาทุกภาคส่วนของออสเตรเลียจึงร่วมมือกันฟื้นฟูธรรมชาติบนเกาะที่เป็นบ้านหลังใหญ่ที่สุดของสัตว์ท้องถิ่นออสเตรเลียให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ พร้อมเปิดบ้านให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมชมอีกครั้งในปี 2024 นี้

นกเพลิแกน หนึ่งในนกที่พบเห็นได้บ่อยใน Kangaroo Island

 

ทั้งนี้ เป้าหมายในการเดินทางมาเยือน Kangaroo Island สำหรับหลาย ๆ คนมักเน้นไปที่การ Re-Connect เพื่อเชื่อมโยงหัวใจให้เข้าถึงธรรมชาติ ทั้งป่าเขา ชายทะเล สัตว์น้อยใหญ่ รวมถึงผู้คน ด้วยการใช้ชีวิตแบบไม่เร่งร้อนออกเดินทางสำรวจ Kangaroo Island ที่ผสมผสานภูมิทัศน์อันน่าตื่นตะลึงและวิถีชีวิตที่ตอบโจทย์ทั้งการกิน ดื่ม และใช้ชีวิตที่สามารถออกแบบได้ไม่ซ้ำกัน

ทะเลสวยน้ำใสที่ Stokes Bay

 

 

ตื่นตาตื่นใจกับภูมิทัศน์แปลกตา

สัตว์โลกน่ารัก และสารพัดกิจกรรมกลางแจ้ง

การเดินทางไปยัง KI นั้นสามารถนั่งเรือเฟอร์รีไปจากเมือง Cape Jervis ได้ หรือจะเดินทางโดยเครื่องบินไปลงบนเกาะเลยก็ได้ ส่วนการเดินทางบนเกาะนั้นแนะนำให้เช่ารถยนต์ขับ เพราะสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งอยู่ห่างกันอย่างน้อย 50 กิโลเมตร ทริปเที่ยว KI จึงเป็นโร้ดทริปสำหรับคนชอบขับรถกินลมชมวิวแบบเพลิน ๆ

ถนนหนทางบนเกาะ

 

สถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์อันดับต้น ๆ ที่ทุกคนต้องไป ได้แก่ Seal Bay Conservation Park ชายหาดที่เหมาะแก่การเดินเล่นริมทะเลไปบนสะพานไม้ พลางสังเกตชีวิตของสิงโตทะเลออสเตรเลียที่อยู่ตามธรรมชาติระหว่างการเดินชมชายหาด โดยต้องซื้อบัตรเข้าอุทยานฯ ก่อน สามารถเลือกได้ว่าจะเดินชมธรรมชาติด้วยตัวเอง  ซึ่งมีข้อแม้ว่าห้ามเดินลงไปบนหาดโดยเด็ดขาด

Seal Bay Conservation Park

 

หรือจะใช้บริการไกด์ในการพาเดินไปชมสิงโตทะเลแบบใกล้ชิด พร้อมกับทำความรู้จักเรื่องราวของสัตว์โลกใกล้สูญพันธุ์ที่เหลืออยู่ในธรรมชาติเพียง 14,700 ตัว เป็นอีกตัวเลือกของประสบการณ์การท่องเที่ยวที่คุ้มค่าและน่าสนใจ ดูรายละเอียดได้ที่ https://www.parks.sa.gov.au/experiences/seal-bay

Remarkable Rocks

 

อีกสถานที่ซึ่งเป็น A must ประจำเกาะ ได้แก่ Flinders Chase National Park อุทยานแห่งชาติที่รวมเอาไว้ซึ่งแลนด์มาร์กสำคัญอย่าง Admiral's Arch ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่มีลักษณะเป็นช่วงปากถ้ำที่มองผ่านลอดเข้าไปเป็นทะเล ซึ่งสวยงามอลังการ ควรค่าแก่การบันทึกภาพอวดผู้คนบนโลกโซเชียล เช่นเดียวกับ Remarkable Rocks หินขนาดยักษ์รูปร่างแปลกตาที่ดึงดูดให้ต้องก้าวเท้าเดินเข้าไปชมความงามอันน่าอัศจรรย์อย่างใกล้ชิด

โต้คลื่นบนเนินทรายที่ Little Sahara
Photo: tourkangarooisland.com.au

 

ไม่ไกลจากประติมากรรมทางธรรมชาติอย่างหินผาทั้งสองแห่ง เป็นที่ตั้งของ Little Sahara เนินทรายขนาดอลังการจนเป็นที่มาของชื่อเรียกขานในฐานะสาขาย่อยของทะเลทรายสะฮารา ที่เป็นเหมือนสนามเด็กเล่นขนาดใหญ่ให้นักท่องเที่ยวทุกเพศทุกวัยได้ตะลุยผจญภัยไปกับกิจกรรมสนุก ๆ ใครชอบเล่นเซิร์ฟอยู่แล้ว หรือชอบลองกิจกรรมใหม่ ๆ ต้องคว้า Sandboard ไปลองโต้คลื่นบนผืนทรายที่น่าสนุกตื่นเต้นดีไม่ใช่น้อย

โคอาล่าที่มีเยอะพอ ๆ กับจิงโจ้

 

หรือจะซื้อทัวร์ทะเลทรายที่เลือกได้ว่าจะเช่าจักรยานล้อใหญ่ จักรยานไฟฟ้า หรือรถบักกี้ขี่สำรวจ Little Sahara ที่มีดอกไม้ พรรณไม้ท้องถิ่นนานาชนิดให้ได้ทำความรู้จัก รวมถึงโอกาสในการได้เจอหมีโคอาล่าที่อาศัยอยู่ในป่ายูคาลิปตัสเก่าแก่อายุกว่า 500 ปี ดูรายละเอียดได้ที่ https://littlesahara.com.au/

ว่ายน้ำกับโลมา
Photo: tourkangarooisland.com.au

 

ใครอยากใกล้ชิดโลมา ต้องใช้บริการ Kangaroo Island Marine Adventures ที่อาสาพาคุณนั่งเรือไปชมฝูงโลมากลางทะเล ซึ่งถ้าอยากแหวกว่ายในน้ำกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ฉลาดสุด ๆ สามารถจองแพ็กเกจว่ายน้ำกับโลมาไว้ล่วงหน้าได้เลย มั่นใจว่าจะได้เจอโลมาแน่นอน ด้วยประสบการณ์กว่าสองทศวรรษของ Kangaroo Island Marine Adventures ที่อ่านขาดว่าฝูงโลมากำลังแหวกว่ายอยู่ช่วงไหนของน่านน้ำ ดูรายละเอียดได้ที่ www.kimarineadventures.com.au/

 

 

กินหอยนางรมสดจากทะเล จิบไวน์
และเช็กอินโรงกลั่นน้ำมันยูคาลิปตัสสุดวินเทจ

ด้วยภูมิภาคที่เป็นเกาะซึ่งอุดมไปด้วยกุ้ง หอย ปู ปลา นานาชนิด บวกกับวิถีชีวิตของชาวเกาะดั้งเดิมที่ต้องพึ่งพาตัวเองมาช้านาน ทำให้อาหารการกินบน KI เต็มไปด้วยเทคนิคในการถนอมอาหารให้สามารถกินได้นานตลอดฤดูกาล และอร่อยด้วยความสดใหม่ของวัตถุดิบ เหล่า Foodies ที่มีความสุขในการรับประทานอาหารจึงมั่นใจได้ในการลิ้มรสชาติหอยนางรมตัวอวบที่เพิ่งขึ้นจากทะเลมาหมาด ๆ อร่อยเต็มคำกับ Whiting Burger เบอร์เกอร์ปลาที่อร่อยเป็นพิเศษด้วยเนื้อปลา King George Whiting ประจำท้องถิ่น และอีกสารพันของกินอร่อยบนเกาะจิงโจ้แห่งนี้

หอยนางรมสดจากทะเล
Photo: tourkangarooisland.com.au

 

ประเดิมด้วยการไปเยือน The Oyster Farm Shop ที่ American River ซึ่งเป็นชุมชนฟาร์มหอยนางรมที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะ เปิดให้ชมทุกกระบวนการทำฟาร์มหอยนางรมแบบไม่หวงเครื่อง รวมถึงรายการอาหารทะเลสารพันชนิด ทั้งหอยนางรมแปซิฟิก กุ้งมาร์รอน หอยเป๋าฮื้อ ปลา King George Whiting ฯลฯ ที่สามารถนำมา Paring กับไวน์ท้องถิ่น ไซเดอร์ และเบียร์ ที่สำคัญ คือ อย่าลืมชิมอาหารทะเลรมควันนานาชนิด และซอสรสชาติเด็ดของดีประจำถิ่นอย่างซอส KI Kilpatrick ที่กินกับอะไรก็อร่อย

กิจกรรม Gin Blending
Photo: tourkangarooisland.com.au

 

เอาใจสายดื่มกันบ้างที่ Kangaroo Island Spirits หรือ KIS โรงกลั่นสุราแบบแฮนด์คราฟต์ที่ก่อตั้งมานานเกือบ 20 ปี เน้นการนำวัตถุดิบในท้องถิ่นมากลั่นเป็นแอลกอฮอล์หลายชนิด ที่เด่นและดังที่สุดต้องยกให้เหล้าจินที่ไปคว้ารางวัลระดับโลกมาแล้วหลายแห่ง ใครที่ชอบดื่มจินเป็นชีวิตจิตใจสามารถคลุกวงในเพลิดเพลินกับเครื่องดื่มที่โปรดปรานได้ใน Gin Blending Masterclass รวมถึงเวิร์กช็อปอื่น ๆ อีกหลากหลายสำหรับคนรักการมิกส์เครื่องดื่มเป็นชีวิตจิตใจ

จิบไวน์ที่ Dudley Wines
Photo: tourkangarooisland.com.au

 

ไม่เฉพาะบนแผ่นดินใหญ่ในแถบเซาท์ออสเตรเลียเท่านั้นที่เด่นดังเรื่องไวน์ บนเกาะ KI ก็เป็นแหล่งผลิตไวน์รสชาติดีไม่แพ้กัน โดยผู้บุกเบิก Winery (โรงกลั่นเหล้าองุ่น) มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1997 อย่าง Dudley Wines ยินดีเปิดไร่องุ่นให้ชื่นชมผลผลิตและชิมไวน์อย่างใกล้ชิด แนะนำให้จองโต๊ะก่อนเพื่อจะได้ไม่พลาดโอกาสในการค่อย ๆ ละเมียดอารมณ์ไปกับการเทสต์ไวน์ไปทีละชนิด โดยมีวิวท้องทะเลสีครามและแผ่นดินใหญ่บนฝั่งเซาท์ออสเตรเลียทอดตัวอยู่ปลายสายตา

โรงกลั่นน้ำมันยูคาลิปตัส Emu Ridge
Photo: tourkangarooisland.com.au

 

พักจากเรื่องกินดื่มแล้วไปทำความรู้จักแหล่งผลิตน้ำมันยูคาลิปตัส ผลิตภัณฑ์ชั้นดีผูกติดกับชื่อประเทศออสเตรเลียอย่างแยกไม่ออก เพราะเป็นสินค้าส่งออกชนิดแรกของออสเตรเลีย ทั้งยังเป็นอุตสาหกรรมหลักของ KI อีกด้วย ซึ่ง Emu Ridge Eucalyptus Distillery เป็นโรงกลั่นน้ำมันยูคาลิปตัสเพื่อการค้าแห่งเดียวที่ยังดำเนินกิจการอยู่ในรัฐเซาท์ออสเตรเลีย จึงถือเป็นการอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นของออสเตรเลียไว้อย่างครบถ้วน 

 

แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นโรงกลั่นน้ำมันยูคาลิปตัส แต่ที่นี่ก็มีสินค้าอื่น ๆ ให้เลือกจับจ่าย ทั้งงานศิลปะ หัตถกรรมท้องถิ่น มีคาเฟ่ให้กินอาหารอร่อยประจำเกาะ และมี Cellar Door ห้องใต้ดินที่ใช้เก็บ Kangaroo Island Cider ซึ่งแน่นอนว่าสามารถสั่งมาดื่มคู่มื้ออร่อยได้เลย

ทิวทัศน์ของบารอสซา วัลเลย์ (Barossa Valley) 

 

สำหรับใครที่ยังไม่จุใจกับการกินดื่มบน KI สามารถข้ามฝั่งกลับไปเติมเต็มทริปจิบไวน์กันต่อบนแผ่นดินใหญ่ ด้วยการขับรถมุ่งหน้าออกจากตัวเมืองแอดิเลดไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 80 กิโมตร เพื่อดื่มด่ำกับดินแดนแห่งไวน์ดีที่ บารอสซา วัลเลย์ (Barossa Valley) แหล่งผลิตไวน์คุณภาพประจำรัฐเซาท์ออสเตรเลีย ที่มีองุ่นพันธุ์ Shiraz เป็นสายพันธุ์ขึ้นชื่อ

 

ด้วยความที่ตลอดเส้นทางของบารอสซาวัลเลย์เต็มไปด้วย Vineyard และ Cellar Door ทั้งรายใหญ่และรายย่อยมากมายเรียงรายปักป้ายเชื้อเชิญให้แวะชิมไวน์ตลอดเส้นทาง ดังนั้น แนะนำให้ทำการบ้านไปก่อนว่าอยากปักหมุดแวะที่ Winery ไหนบ้าง ทั้ง Penfolds, Yalumba, Rockford, Murray Street ฯลฯ ซึ่งแต่ละแห่งมีเอกลักษณ์ของไวน์ที่แตกต่างกันไป สิ่งเดียวที่คุณทำได้ คือ เผื่อเวลา วางแผนการเดินทางให้แม่นยำ และจิบไวน์ให้ฉ่ำแบบไม่ต้องคอยพะวงเหลียวมองนาฬิกา

 

 

อ้างอิง

  • www.tourkangarooisland.com.au
  • Boyd Voyage. EP7: Barossa Valley, the most famous wine production in Australia. https://bit.ly/3tjP7AZ
  • Thomas Kelsall. Kangaroo Island ranks second on Lonely Planet travel list. https://bit.ly/475ubv7

SHARE

facebook
twitter
copy
Related articles / บทความที่เกี่ยวข้อง
Loading...