![](/_next/image?url=https%3A%2F%2Fstrapi.livetolife.thailife.internal%3A1337%2Fupload%2Fimages%2F1217bfe152e0203b40c8.jpg&w=3840&q=75)
![](/_next/image?url=https%3A%2F%2Fstrapi.livetolife.thailife.internal%3A1337%2Fupload%2Fimages%2F0e52315af8df4f52d102.jpg&w=3840&q=75)
หลงยุคหยุดเวลาที่เมืองโบราณ ‘ฮอยอัน’ ท่องเที่ยวเวียดนามกลางในบรรยากาศเงียบสงบ
Travel / World
17 Dec 2024 - 5 mins read
Travel / World
SHARE
17 Dec 2024 - 5 mins read
‘ฮอยอัน’ ไม่เหมือนที่ไหนในเวียดนาม
เพราะภาพจำแรกของเวียดนามที่คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึง คือ ภาพการจราจรคับคั่งและความจอแจวุ่นวายที่มีผู้คนมากมายขับขี่รถยนต์และมอเตอร์ไซค์บนท้องถนน พร้อมบีบแตรเสียงดังตลอดเวลา
ภาพการจราจรที่คับคั่งและจอแจวุ่นวายเป็นปกติบนถนนในนครโฮจิมินห์ เวียดนามใต้
ถึงแม้ว่าคนเวียดนามจะมองเป็นเรื่องปกติ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวหรือคนที่มีโอกาสได้ไปเยือน กลับมองเป็นความแปลกใหม่และแตกต่างจากเมืองไหน ๆ ในโลก ถึงขั้นขนานนามให้เวียดนามว่า The City of Horns หรือ นครแห่งเสียงแตร
แต่ทริปเที่ยวเวียดนามครั้งนี้ รับรองว่าไม่เหมือนครั้งไหน เพราะ LIVE TO LIFE ตั้งใจพาทุกคนไปเยือน ‘ฮอยอัน’ ชวนสำรวจเขตเมืองเก่าใน 1 วันตั้งแต่เช้าจรดเย็น ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปสัมผัสเสน่ห์ของวันวานอีกครั้ง เป็นประสบการณ์เที่ยวเวียดนามในมุมต่างที่จะสร้างภาพจำให้ทุกคน
หลงยุคหยุดเวลาที่ ‘ฮอยอัน’
เมืองโบราณแห่งเวียดนามกลาง
ด้วยลักษณะด้านภูมิศาสตร์ของ ‘ฮอยอัน’ (Hội An) หรือออกเสียงตามคนเวียดนามว่า ‘โห่ยอาน’ ซึ่งเป็นเมืองขนาดเล็กริมฝั่งทะเลจีนใต้ ตั้งอยู่ในจังหวัดกว๋างนาม (Quang Nam) ทางตอนกลางของเวียดนาม จึงทำให้ฮอยอันเป็นเมืองที่มีสภาพอากาศเย็นสบาย ท้องฟ้าปลอดโปร่งเหมาะกับการท่องเที่ยวกลางแจ้ง โดยเฉพาะในช่วงหน้าหนาว ตั้งแต่เดือนธันวาคมไปจนถึงเดือนมีนาคม ที่ตลอดวันมีอุณหภูมิเฉลี่ย 19-25 องศาเซลเซียสเท่านั้น
แต่จุดเด่นที่ทำให้ฮอยอันกลายเป็นจุดหมายปลายทางใหม่ของการท่องเที่ยวเวียดนาม คือ ภาพความเป็นเมืองท่าเก่าแก่สีเหลืองมัสตาร์ดที่ยังคงรักษากลิ่นอายประวัติศาสตร์เอาไว้ ซึ่งความเจริญรุดหน้าในปัจจุบันไม่อาจพรากหรือลดทอนมนตร์เสน่ห์ของความเป็นเมืองในช่วงศตวรรษที่ 15 ถึง 19 ไปได้ ให้ความรู้สึกต่างจากเมืองหลวง ‘ฮานอย’ ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือ และ ‘นครโฮจิมินห์’ ที่ตั้งอยู่ตอนใต้ของเวียดนามอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่ครั้งแรกที่สัมผัส สมกับที่ได้รับการยกย่องจากองค์การยูเนสโก (UNESCO) ให้ครองตำแหน่ง ‘เมืองมรดกโลก’ (Hoi An Ancient Town) ในปี ค.ศ. 1999 เป็นต้นมา
ภาพมุมสูงของเมืองโบราณฮอยอัน เวียนนามกลาง
เช็กให้พร้อม ก่อนออกทริป
กับข้อมูลควรรู้ของฮอยอันและคนเวียดนาม
เพื่อสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวฮอยอันให้เป็นทริปสุดประทับใจและราบรื่นที่สุด LIVE TO LIFE ขอแนะนำว่าให้เตรียมความพร้อมในทุก ๆ เรื่อง เริ่มต้นด้วยข้อมูลควรรู้เกี่ยวกับการเดินทางโดยเครื่องบินจากประเทศไทย เลือกบินตรงไปลงท่าอากาศยานนานาชาติดานัง ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที จากนั้นใช้แอปพลิเคชัน Grab เรียกรถรับส่งเพื่อเดินทางไปยังเมืองฮอยอัน แทนการโดยสารด้วยรถประจำทางหรือรถแท็กซี่ เพราะสะดวกมากกว่า และที่สำคัญก็คือ ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกโกงค่าโดยสาร
อีกหนึ่งข้อสังเกตที่ควรรู้ขณะเดินทางภายในประเทศเวียดนาม แม้ว่าเมืองโบราณฮอยอันอยู่ห่างจากท่าอากาศยานนานาชาติดานังเพียง 27 กิโลเมตร แต่อาจใช้เวลาเดินทางนานถึง 50 นาที ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจได้ เพราะกฎจราจรของที่นี่ควบคุมความเร็วให้ขับรถได้ไม่เกิน 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
นอกจากนี้ ยังจำเป็นต้องแลกเงินดอง (VND) ให้เพียงพอสำหรับใช้จ่ายตลอดทริปเพื่อความคล่องตัว เพราะร้านค้าท้องถิ่นส่วนมากรับเฉพาะเงินสด ยกเว้นคาเฟ่และร้านอาหารขนาดใหญ่บางแห่งที่ยินดีรับบัตรเครดิต แต่ถือว่าเป็นส่วนน้อย
สำหรับการพูดคุยกับคนเวียดนาม ไม่ต้องกลัวว่าจะสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง เพราะคนเวียดนามที่ทำงานตามแหล่งท่องเที่ยวส่วนมากสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษขั้นพื้นฐานได้ หรืออาจใช้แอปพลิเคชันช่วยแปลภาษาก็ได้เช่นกัน
เรื่องสุดท้ายที่ควรรู้และระวังตลอดทริป คือ การแต่งกายเพื่อถ่ายรูป เพราะนักท่องเที่ยวมักนิยมซื้อชุดประจำชาติเวียดนามที่เรียกว่า ‘อ๋าว หญ่าย’ (Áo dài) มาสวมใส่ตามความชอบ ซึ่งหาซื้อได้ง่ายมีแบบให้เลือกทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ข้อควรรู้คือพยายามซื้อกับร้านที่ติดป้ายบอกราคาชัดเจน ถ้าไม่มีป้าย ให้ถามราคาก่อนเสนอ หากต้องการต่อราคา แนะนำให้ต่อรองราคาแรกที่ถูกลงเกือบครึ่งหนึ่ง แต่ต้องแน่ใจก่อนว่าจะซื้อชุดนั้นจริง ๆ ไม่ควรต่อราคาเล่น แล้วค่อยตกลงราคาที่แน่นอนกับผู้ขาย เมื่อได้รับเงินทอนให้ตรวจสอบจำนวนเงินก่อนออกจากร้าน
ส่วนการถ่ายภาพ ต้องระวังให้ถี่ถ้วนเป็นพิเศษ ไม่ควรถ่ายติดคนเวียดนามโดยพลการ เพราะคนเวียดนามให้ความสำคัญเรื่องสิทธิส่วนบุคคล หากเผลอถ่ายติดคนอื่นโดยไม่ขออนุญาต คนเวียดนามถือว่าเขามีสิทธิ์เรียกเก็บเงินในฐานะตัวแบบซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรูปถ่ายภาพนั้นได้
ทั้งหมดนี้คือข้อมูลเพื่อเตรียมตัวและอุ่นเครื่องก่อนเดินทาง เมื่อทุกคนพร้อมแล้ว ถึงเวลาท่องเที่ยวในเมืองโบราณฮอยอันตลอดหนึ่งวันเต็ม จะมีที่จุดน่าสนใจตรงไหนบ้าง ? ตาม LIVE TO LIFE มาได้เลย
เช้า : เช็กอินแลนด์มาร์กฮอยอัน
เยี่ยมบ้านโบราณและสะพานญี่ปุ่น
ทันทีที่เดินทางมาถึงฮอยอัน ให้ซื้อบัตรเข้าชมเขตเมืองโบราณในราคา 120,000 ดอง (ประมาณ 165 บาท) เป็นการจ่ายครั้งเดียวแล้วอยู่เที่ยวได้ทั้งวัน โดยเริ่มเปิดให้เข้าตั้งแต่ 8 โมงเช้าเป็นต้นไป เพราะเป็นเวลาที่แลนด์มาร์กสำคัญภายในเมืองโบราณฮอยอันพร้อมเปิดให้เข้าชม เช่นเดียวกับร้านรวงต่าง ๆ ที่เปิดให้บริการในเวลาเดียวกัน
สิ่งที่ควรทำช่วงเช้าคือเช็กอินแลนด์มาร์กให้ครบทั้ง 2 แห่ง คือ บ้านโบราณ และสะพานญี่ปุ่น เพราะว่านักท่องเที่ยวยังเดินทางมาถึงไม่มาก ทำให้มีเวลาค่อย ๆ เดิมชมร่องรอยความสวยงามของอดีตได้โดยไม่ต้องรีบเร่ง แถมยังถ่ายรูปได้อย่างอิสระ ไม่ต้องคอยระวังว่าจะถ่ายติดคนอื่น
แลนด์มาร์กแห่งแรกเป็น ‘บ้านโบราณประจำตระกูลตันกี’ (Old House of Tan Ky) ส่วนคนเวียดนามจะเรียกว่า เติ่นกี๋ หรือเรียกตามเลขที่บ้านว่า ‘บ้านเลขที่ 101’ (Old House No. 101) สังเกตเห็นได้ง่ายเพราะตั้งอยู่ริมถนนที่เลียบไปกับแม่น้ำทูโบน (Thu Bồn River) และมีป้ายติดด้านหน้าชัดเจนว่าเป็นบ้านของคหบดีเก่าชาวเวียดนามนามว่า ลีตันกี ซึ่งสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1741 และเคยเป็นบ้านพักอาศัยของคนในตระกูลถึง 7 รุ่น
ปัจจุบันภายในบ้านไม้สองชั้นที่เก่าแก่ที่สุดในฮอยอันหลังนี้ เป็นสถานที่จัดแสดงวัตถุโบราณและของเก่าที่บอกเล่าชีวิตและความเป็นอยู่ของคนในตระกูลตันกีและผู้คนในพื้นที่ ถึงแม้ว่าตัวบ้านจะมีอายุมากกว่า 280 ปี แต่ยังคงรักษาเครื่องเรือนและข้าวของเครื่องใช้ทุกชิ้นให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ดังเดิมได้ ราวกับมีคนอาศัยอยู่เหมือนในอดีตจริง ๆ
ถัดมาจากบ้านโบราณประจำตระกูลตันกี เดินย้อนกลับออกมาตามถนนเลียบแม่น้ำประมาณ 200 เมตร จะพบกับแลนด์มาร์กอีกแห่งที่ว่ากันว่า หากไม่ได้แวะชมถือว่ายังมาไม่ถึงเมืองโบราณฮอยอัน นั่นคือ ‘สะพานญี่ปุ่น’ (Japanese Bridge) เพราะเป็นเสมือนสัญลักษณ์ประจำเมืองนี้
มีลักษณะเป็นสะพานไม้ข้ามคลองที่เชื่อมระหว่างชุมชนชาวญี่ปุ่นกับชุมชนชาวจีนเมื่อ 400 ปีก่อน ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองโบราณฮอยอัน คนเวียดนามจึงเรียกสะพานนี้ว่า ไล เวียน เกียว (Lai Viễn Kiều) หมายถึง สะพานแห่งมิตรไมตรี
เพราะสะพานแห่งนี้ทำหน้าที่เชื่อมต่อวัฒนธรรมญี่ปุ่น จีน และเวียดนาม โดยสะท้อนผ่านลักษณะการออกแบบที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นเข้ากับศิลปะของเวียดนามและจีนได้อย่างกลมกลืนและลงตัว แสดงให้เห็นทั้งความแข็งแรงมั่นคงและความอ่อนช้อยของรายละเอียดในคราวเดียวกัน คนเวียดนามจึงยกย่องสะพานญี่ปุ่นให้เป็นโบราณสถานแห่งสำคัญของชาติ ถึงขนาดพิมพ์ภาพลงบนด้านหลังของธนบัตรใบละ 20,000 ดอง
สาย : นั่งรถสามล้อเวียดนาม
ชมบ้านเรือนทั่วเมืองโบราณฮอยอัน
ตอนสายเป็นช่วงเวลาที่คนเริ่มพลุกพล่าน มีทั้งคนท้องถิ่นที่ออกมาใช้ชีวิต และนักท่องเที่ยวที่ตั้งใจมาชมความสวยงามของบ้านเมือง แม้จำนวนผู้คนจะเริ่มหนาตา แต่กลับกลายเป็นว่าไม่มีความวุ่นวายใด ๆ บรรยากาศโดยรอบทั่วเมืองโบราณฮอยอัน ยังคงความเงียบสงบเอาไว้ได้อย่างน่าประหลาดใจ
ด้วยแสงแดดที่ยังไม่แรงมากนัก จึงเหมาะกับการชมอาคารบ้านเรือน ซึ่งเลือกได้ว่าจะเดิน ปั่นจักรยาน หรือนั่งรถสามล้อเวียดนาม สำหรับค่าเช่าจักรยานต่อวัน มีราคาราว 25,000-30,000 ดอง (ประมาณ 40 บาท) ส่วนราคานั่งรถสามล้อ ซึ่งคนเวียดนามเรียกว่า ซิโคล่ (Cyclo) ขึ้นอยู่กับการต่อรองกับคนขับ แต่ราคาที่เหมาะสมคือไม่ควรเกิน 100,000 ดองต่อคน (ประมาณ 135 บาท)
หากเป็นคนที่ชอบสำรวจตามตรอกซอกซอยหรือดูรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ เช่น ลอนหลังคา กรอบประตูไม้ ลายกระเบื้อง โคมระย้าหน้าบ้าน หรือแม้แต่เหลี่ยมมุมของปูนและก้อนอิฐ แนะนำให้เดินเท้าลัดเลาะชมเมืองโบราณฮอยอันด้วยตัวเอง สำหรับคนที่กลัวว่าจะเหนื่อยก่อนหรือไม่อยากออกกำลังเท้าจนเมื่อยเกินไป แนะนำให้เช่าจักรยานแทน เพราะสามารถขี่ชมเมืองได้ทั่วและไกลมากกว่า เหมาะกับการสำรวจให้เห็นภาพรวมของเมือง
แต่ถ้าต้องการประสบการณ์แปลกใหม่ที่มีให้สัมผัสที่เวียดนามเท่านั้น แนะนำให้นั่งรถสามล้อซิโคล่สักครั้ง ซึ่งจอดคอยบริการนักท่องเที่ยวเป็นจุด ๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะหายาก หากได้คนขับที่สื่อสารภาษาอังกฤษรู้เรื่อง สามารถถามเกร็ดความรู้หรือให้อธิบายความเป็นมาของสถานที่ต่าง ๆ ภายในเมืองโบราณฮอยอันได้ เช่น ร้านค้าเลื่องชื่อ ชุมชนเก่าแก่ เสมือนมีไกด์ท้องถิ่นที่รู้ลึกรู้จริง เพราะว่าพวกเขาเองใช้ชีวิตในเมืองนี้มาตั้งแต่เกิด
บ่าย : แวะพักในร้านอาหารและคาเฟ่
ชาร์จพลังด้วยรสอร่อยแห่งฮอยอัน
หลังจากนั่งรถสามล้อซิโคล่ไปตามถนนภายในเมืองโบราณฮอยอันจนทั่ว เวลาล่วงเลยถึงตอนบ่ายพอดี เหมาะกับการพักชาร์จพลังในร้านรวงที่มีทั้งอาหารท้องถิ่น น้ำสมุนไพรดับกระหาย และกาแฟชงเข้ม เป็นโอกาสดีที่จะได้ลิ้มรสชาติเวียดนามขนานแท้แบบดั้งเดิม
ร้านอาหารในเมืองโบราณฮอยอันมีให้เลือกหลากหลาย ทั้งร้านที่ให้บริการเป็นกิจจะลักษณะ ซึ่งเป็นร้านอาหารที่พบเห็นได้ทั่วไปเหมือนร้านอาหารตามสั่งในประเทศไทย แต่ร้านอาหารที่แนะนำให้ลอง คือร้านสตรีทฟู้ดแบบนั่งยอง
เมนูของร้านนั่งยองมักยืนพื้นด้วย เฝอ (Pho) และ บั๋นหมี่ (Bánh mì) อาหารประจำชาติเวียดนามที่ได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จักสูงสุดในหมู่นักท่องเที่ยว นอกจากนี้ยังมีอาหารที่คนไทยเราคุ้นเคยอย่างดี คือ เปาะเปี๊ยะสด ซึ่งคนเวียดนามเรียกว่า ก่อยก๋วน (Gỏi cuốn) และแหนมเนือง (Nem Nướng)
ก่อยก๋วน
แหนมเนือง
แต่ถ้ายังไม่รู้สึกหิวหรือไม่อยากกินอะไรหนักท้อง แนะนำให้ดื่มน้ำดอกบัวผสมสมุนไพรของร้านมอทฮอยอัน (Mót Hoi An) ซึ่งเป็นเมนูเด่นของร้านที่ช่วยเพิ่มความสดชื่นและดับกระหายระหว่างวันได้ดี เพราะมีรสชาติหวานอมเปรี้ยวคล้ายน้ำผึ้งผสมมะนาวและให้กลิ่นหอมดอกบัวเคล้าเครื่องหอมหลายชนิด ทั้งรสชาติที่ดื่มง่าย ดื่มได้ทุกวัย และขายในราคาสบายกระเป๋าเพียงแก้วละ 16,000 ดอง (ประมาณ 22 บาท) นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงซื้อน้ำดอกบัวคนละแก้ว แล้วถือดื่มระหว่างเดินดูร้านค้าในเมืองโบราณฮอยอัน
ส่วนคอกาแฟและนักท่องเที่ยวสายคาเฟ่ แนะนำให้แวะ Faifo Coffee ร้านกาแฟที่มีดาดฟ้าชั้น 3 เปิดโล่งเป็นจุดชมบรรยากาศเมืองโบราณฮอยอันแบบ 360 องศา เหมาะสำหรับนั่งจิบพักกาแฟพร้อมชมวิว และถ่ายรูปเป็นที่ระลึก เพราะเป็นมุมที่มองเห็นเมืองในมุมต่าง ซึ่งหาไม่ได้จากที่ไหน ต้องขึ้นมาดูในร้านกาแฟแห่งนี้ที่เดียว
เมนูกาแฟที่น่าลองของร้าน นอกจากกาแฟไข่สไตล์เวียดนาม (Cà phê trứng) ที่ใช้เฉพาะไข่แดงมาตีกับน้ำตาลให้ขึ้นฟูเป็นครีมเทลงบนกาแฟโรบัสตาสกัดเข้มให้ได้สัดส่วนครึ่งต่อครึ่งแล้ว ที่พลาดไม่ได้เด็ดขาด คือ กาแฟมะพร้าว หรือที่คนเวียดนามเรียกว่า กาเฟ่กอทเหยือ (Cà phê cốt dừa)
เป็นกาแฟโรบัสตาที่ผสมกับน้ำมะพร้าว มีให้เลือกทั้งน้ำมะพร้าวปกติกับน้ำมะพร้าวปั่น นิยมเสิร์ฟแบบเย็นมากกว่าแบบร้อน เพราะทำให้ได้รับรสชาติกาแฟที่กลมกล่อมและหอมกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของมะพร้าว ส่วนรสหวานของแก้วนี้มาจากความหวานจากธรรมชาติของมะพร้าวเท่านั้น โดยไม่ได้ใส่น้ำเชื่อมใด ๆ ลงไปเพิ่ม
ข้อควรระวังสำหรับนักท่องเที่ยวที่ไม่ใช่คอกาแฟ หรือดื่มกาแฟไม่เก่ง ไม่แนะนำให้ดื่มกาแฟเวียดนามในปริมาณมาก เพราะกาแฟเวียดนามมีคาเฟอีนสูง หากไม่คุ้นเคยจะทำให้ใจสั่นหรือเกิดอาการวูบได้
เย็น : นั่งเรือพายประดับโคมเหนือแม่น้ำ
ชมเมืองโบราณยามตะวันตกดิน
พอถึงตอนเย็นที่แดดร่มลมตก เรือประดับโคมจะเริ่มออกตัวจากท่าเพื่อพานักท่องเที่ยวล่องไปตามแม่น้ำทูโบน (Thu Bồn River) เพื่อดูเมืองโบราณฮอยอันในช่วงตะวันกำลังลาลับขอบฟ้า แสงสุดท้ายของวันที่สาดส่องไปยังอาคารบ้านเรือนที่เรียงรายเลียบแม่น้ำ ช่วยขับเน้นสีเหลืองมัสตาร์ดให้กลายเป็นสีเหลืองทองดูเด่นชัดมากกว่าช่วงเวลากลางวัน เป็นภาพความสวยงามที่เห็นได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงก่อนพลบค่ำ
เรือหนึ่งลำนั่งได้มากสุด 5 คน คนขับจะคิดราคาเช่าเหมาลำ โดยแบ่งเป็น 2 ราคา คือ 150,000 ดองต่อคน (ประมาณ 203 บาท) สำหรับ 1-3 คน และราคา 200,000 ดองต่อคน (ประมาณ 270 บาท) สำหรับ 4-5 คน ใช้เวลาล่องเรือเหนือแม่น้ำราว 20 นาที ให้บริการเป็นรอบ ตั้งแต่ 5 โมงเย็นจนถึง 3 ทุ่ม
เมื่อเวลาล่วงเลยจนมืดค่ำ ทั่วทุกพื้นที่ของเมืองโบราณฮอยอันจะยังคงสว่างสดใส ด้วยแสงจากโคมที่ร้านรวงประดับเอาไว้ พร้อมเผยให้เห็นอีกฟากฝั่งหนึ่งของแม่น้ำซึ่งไม่ได้เป็นพื้นที่โล่งเหมือนตอนกลางวัน แต่เต็มไปด้วยแผงลอยและรถเข็นสตรีทฟู้ด กลายเป็น ‘ตลาดกลางคืนฮอยอัน’ (Hoi An Night Market) แหล่งแฮงก์เอาต์ทั้งของคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวสำหรับซื้อของกินและของฝาก เป็นอันจบทริปย้อนเวลากลับไปสัมผัสเสน่ห์ในวันวานของเมืองโบราณฮอยอันในหนึ่งวันเต็ม
อ้างอิง
- UNESCO World Heritage Centre. Hoi An Ancient Town. https://bit.ly/3Virjbp
- Vietnam Tourism. The best ways to explore the ancient town of Hoi An. https://bit.ly/3ZnguWA