หวังสิ่งใดได้สิ่งนั้น ทัวร์ขอพรสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ใน 6 ประเทศใกล้ไทย ที่นักเที่ยวสายมูควรไปเยือน

24 Oct 2023 - 5 mins read

Travel / World

Share

นอกจากประเทศไทยแล้ว ยังมีอีกหลายประเทศในทวีปเอเชียที่ขึ้นชื่อเรื่องสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

 

โดยเฉพาะประเทศใกล้ ๆ ที่คนไทยสามารถเดินทางไปเยือนได้ง่าย ๆ อย่าง ลาว พม่า กัมพูชา ฮ่องกง ไต้หวัน และอินเดีย ซึ่งประเทศเหล่านี้กำลังเป็นหมุดหมายของนักท่องเที่ยวสายมู ที่ไม่ได้มีแค่คนไทยเท่านั้น แต่รวมไปถึงนักท่องเที่ยวเปี่ยมศรัทธาจากทั่วทุกมุมโลก ต่างพากันเดินทางมากราบไหว้และขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ภายในสถานที่สำคัญด้วยความตั้งใจแน่วแน่ เพื่อหวังจะพบพานกับความสุข สมหวังตามสิ่งที่ขอ

 

เพื่อเสริมพลังบุญ หนุนพลังใจ ให้คนไทยสมหวังดังปรารถนา ทั้งเรื่องโชคลาภ ความรัก การเงิน การงาน สุขภาพ และความสำเร็จ LIVE TO LIFE จึงขออาสาเป็นไกด์นำทัวร์ขอพรกับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ชื่อดังใน 6 ประเทศใกล้ไทย ที่สายมูควรต้องไปสักการะให้ได้สักครั้งเพื่อเป็นมงคลแก่ชีวิต พร้อมด้วยข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับความเป็นมา ความเชื่อ ความขลัง และขั้นตอนการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในแต่ละที่อย่างถูกวิธี ให้สมกับเป็น ‘การท่องเที่ยวฉบับสายมู’

 

หรือต่อให้ไม่ใช่สายมู ก็สามารถท่องเที่ยวตามไปด้วยกันได้ เพื่อสัมผัสกับบรรยากาศที่ช่วยให้รู้สึกสงบและอุ่นใจ ซึ่งอบอวลอยู่ทั่วบริเวณของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ รับรองว่าเป็นประสบการณ์ที่หาจากที่อื่นไม่ได้

 

 

ฮ่องกง : วัดแชกงหมิว

หมุนกังหัน อธิษฐานให้ร่ำรวยพร้อมรับโชคลาภ

 

วัดแชกงหมิว (Che Kung Temple) คือหนึ่งในวัดยอดนิยมที่สุดของเกาะฮ่องกงที่มีผู้คนมากมายเลื่อมใสในความศักดิ์สิทธิ์มาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะคนเชื้อสายจีน เพราะภายในวัดแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานของรูปปั้นท่านแชกง จึงเป็นที่มาของชื่อวัด จากคำว่า ‘แชกง’ ที่ตั้งตามชื่อแม่ทัพผู้เกรียงไกรในสมัยราชวงศ์ซ่ง ซึ่งไม่เคยพ่ายให้ศัตรูและได้รับชัยชนะทุกครั้งที่ออกรบ ด้วยความเก่งกาจ ทำให้ผู้คนเคารพนับถือและยกย่องให้ท่านเป็นเสมือนเทพเจ้าแห่งความสำเร็จเหนืออุปสรรคทั้งปวง ส่วน ‘หมิว’ เป็นภาษาจีนกวางตุ้ง หมายถึง วัดหรือเทวสถานของสิ่งศักดิ์สิทธิ์

 

แต่คนไทยมักจะรู้จักวัดแชกงหมิวในชื่อ ‘วัดกังหัน’ ตามสัญลักษณ์สำคัญของวัด ในตำนานเล่าไว้ว่า ทุกครั้งที่ออกรบไปปราบศัตรู ท่านแชกงจะใช้กังหันกระดาษเป็นสัญลักษณ์นำทัพเสมอ กังหันจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของท่านตามไปด้วย

 

ยังมีอีกหนึ่งตำนานที่ชาวบ้านเล่าต่อ ๆ กันมา ถึงพื้นที่ตั้งของวัดแชกงหมิว ซึ่งแต่ก่อนเป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดา แต่แล้ววันหนึ่งเกิดเหตุการณ์โจรสลัดยกพลขึ้นบกจะมาปล้นหมู่บ้าน ชาวบ้านจึงรีบอพยพออก ขณะที่หญิงคนหนึ่งกำลังพาลูกเล็กหนี เธอได้เจอกับชายชราไม่คุ้นหน้าท่าทางน่าเกรงขาม ชายชราแนะนำให้เธอและชาวบ้านช่วยกันพับกังหันกระดาษให้ได้มากที่สุด แล้วเสียบไว้ด้านหน้าของหมู่บ้าน ด้วยปาฏิหาริย์ของกังหัน ทำให้หมู่บ้านรอดพ้นจากการรุกราน ชาวบ้านทุกคนจึงปักใจเชื่อว่าชายชราผู้นั้น คือ ท่านแชกง และพร้อมใจกันยกพื้นที่ของหมู่บ้านให้สร้างวัดแชกงหมิว เพื่อรำลึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน

 

เมื่อเดินทางมาถึงด้านหน้าของวัดแชกงหมิว ให้ไหว้ฟ้าดินเป็นอันดับแรก ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่จำหน่ายชุดไหว้ให้ ประกอบด้วย ธูปสีแดงหรือธูปมังกร 3 ดอก ธูปดอกเล็ก 1 กำ พร้อมกวักเงินกวักทองกระดาษสำหรับเขียนชื่อและที่อยู่เพื่อเรียกทรัพย์และสะเดาะเคราะห์ เมื่อจุดธูปเสร็จ ให้ยืนกลางแจ้งหันหน้าออกนอกตัววัด มองขึ้นไปบนท้องฟ้า บอกชื่อนามสกุล วันเดือนปีเกิด และขอให้ฟ้าดินรับรู้ถึงความตั้งใจจริงที่ได้มาขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัด เพื่อดลบันดาลใจได้รับพรตามที่อธิษฐาน เสร็จแล้วคำนับ 3 ครั้ง พร้อมปักธูปมังกรทั้ง 3 ดอกลงกระถาง ตามด้วยธูปดอกเล็ก ให้ปักลงกระถางทีละ 3 ดอกไปเรื่อย ๆ เมื่อถึงกระถางใหญ่ ให้ปักธูปทั้งหมด โดยไม่ลืมว่า ต้องเหลือธูปไว้ 3 ดอก สำหรับนำไปไหว้ท่านแชกงด้านในวัด

 

เมื่อเข้ามาในที่ประดิษฐานของ รูปปั้นท่านแชกงสีทอง ให้ยืนก้มหน้าขอพร เมื่อขอพรเสร็จให้ค่อย ๆ เงยหน้าสบตากับองค์ท่าน แล้วปักธูป 3 ดอกในกระถางด้านหน้า จากนั้นนำกวักเงินกวักทองกระดาษไปใส่ในกระบะที่วัดจัดเตรียมไว้สำหรับนำไปทำพิธีต่อ

 

เสร็จแล้วใช้นิ้วชี้หมุนกังหันตามเข็มนาฬิกา สามารถเลือกหมุนได้ 1 รอบ หรือ 3 รอบ กังหันจะพัดเอาสิ่งไม่ดีออกไปจากตัวเรา แก้ปีชง และช่วยพัดพาเอาสิ่งที่ดีเข้ามาแทนที่ตามความหมายของใบพัดทั้ง 4 ใบ ได้แก่ เดินทางปลอดภัย สุขภาพแข็งแรง เงินทองไหลมาเทมา และสมความปรารถนาทุกประการ จบด้วยการตีกลองดัง ๆ 3 ครั้ง เพื่อให้พรเป็นที่รับรู้ทั่วกันทั้งฟ้าดิน

 

เรื่องที่แนะนำให้ขอพร : หน้าที่การงาน การเงิน ความสำเร็จด้านธุรกิจ โชคลาภ และชีวิตที่พลิกผันจากร้ายกลายเป็นดี

 

เปิดให้สักการะ : ทุกวัน เวลา 07.00 - 18.00 น. 

 

การเดินทาง : เดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน MTR เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด เลือกลงสถานี Tai Wai ทางออก Exit B จากนั้นเดินตามถนน Che Kung Miu ใช้เวลาประมาณ 10 นาที จนถึงวัดแชกงหมิว ตัววัดจะอยู่ด้านขวา ให้ลงบันไดแล้วเดินลอดใต้ถนนเพื่อขึ้นมายังบริเวณด้านหน้าของวัด

 

 

ไต้หวัน : วัดหลงซาน

บูชาเครื่องรางและขอด้ายแดงให้เจอเนื้อคู่

 

ถ้าไม่ได้มาวัดหลงซาน ก็เหมือนมาไม่ถึงไต้หวัน เพราะวัดแห่งนี้เป็นทั้งแลนด์มาร์กที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องเดินทางมาเยือน และเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่กรุงไทเปที่คนไต้หวันเองมักจะนึกถึงเป็นแห่งแรกหากคิดจะขอพรเรื่องความรัก

 

วัดหลงซาน (Longshan Temple) ตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่า บนถนนกวางโจว เป็นวัดเก่าแก่ที่มีอายุมากถึง 285 ปี ภายในเป็นสถานที่ประดิษฐานของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเทพเจ้าในศาสนาพุทธ เต๋า และขงจื๊อ จำนวนมากกว่า 165 องค์ โดยมี พระโพธิสัตว์กวนอิม เป็นองค์พระประธานของวัด 

 

ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 วัดหลงซานเคยถูกโจมตีจนได้รับความเสียหายอย่างหนัก แต่องค์พระโพธิสัตว์กวนอิมกลับไม่ได้รับความเสียหายใด ๆ ยิ่งทำให้ผู้คนเลื่อมใสและศรัทธา เพราะเชื่อว่าหากบูชาแล้ว จะปลอดภัย ปลอดโรค สุขภาพแข็งแรง และแคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวง

 

การเข้ามายังพื้นที่ภายในวัดหลงซาน ให้เริ่มจากเดินผ่านซุ้มประตูใหญ่ แล้วจะพบกับประตูวัด ซึ่งแยกเป็นด้านซ้ายกับด้านขวา ให้เดินเข้าทางประตูมังกรด้านขวา ส่วนประตูเสือด้านซ้าย เป็นประตูสำหรับเดินออกจากวัด 

 

หลังจากผ่านประตูมังกรมาแล้ว ให้ยืนหันหน้าออกไปยังข้างนอกวัด แล้วพนมมืออธิษฐานถึง เทพเจ้าฟ้าดิน โดยบอกชื่อนามสกุล วันเดือนปีเกิด และที่อยู่ ให้ท่านปกป้องคุ้มครอง หลังจากนั้นหันหลังกลับมาไหว้องค์พระโพธิสัตว์กวนอิม สามารถขอพรกับท่านได้ทุกเรื่อง เสร็จแล้วเดินเข้าไปด้านในเพื่อสักการะองค์เทพตามเรื่องต่าง ๆ ที่ต้องการขอพร

 

โดยเรียงลำดับองค์เทพจากขวาไปซ้าย ดังนี้ ด้านขวามือสุด คือ องค์เทพฮั่วท้อ ให้พรเรื่องการเรียน การสอบ ถัดมาทางซ้าย คือ เทพมาจู่ หรือ เจ้าแม่ทับทิม ให้พรเรื่องการเดินทาง ตรงกลางคือ เจ้าแม่จูแซเนี้ย ให้พรเรื่องการเกิด สำหรับคนที่อยากมีลูก ถัดมาคือ เทพเจ้ากวนอู ให้พรเรื่องการงานและการเงิน และด้านซ้ายมือสุด คือ ผู้เฒ่าจันทรา หรือ เทพเย่วเหล่า ให้พรเรื่องความรัก ซึ่งคนนิยมมาขอด้ายแดงไว้เป็นวัตถุมงคลเพื่อให้ได้พบกับเนื้อคู่ตามที่หวัง

 

วิธีขอด้ายแดงมีขั้นตอนดังนี้ หยิบ เซ้งปวย หรือ ไม้สีแดงรูปพระจันทร์เสี้ยว มา 2 ชิ้น ประกบให้เข้ากันในท่าพนมมือ ขอพรกับเทพเย่วเหล่า บอกชื่อนามสกุล วันเดือนปีเกิด อายุ ที่อยู่ และสเปกหรือคุณสมบัติของเนื้อคู่ จากนั้นขอด้ายแดง แล้วโยนเซ้งปวยลงที่พื้น ผลของการเสี่ยงทายต้องออกมาเป็น คว่ำ-หงาย ติดต่อกัน 3 ครั้ง สามารถโยนใหม่ได้เรื่อย ๆ เมื่อได้แล้ว ให้หยิบห่อด้ายแดงในกล่องไม้ ใช้มือซ้ายหยิบด้ายแดงออกมาจากห่อ นำไปวนรอบกระถางธูปใหญ่ตามเข็มนาฬิกาให้ครบ 3 รอบ แล้วเก็บใส่ห่อตามเดิม พกไว้ในกระเป๋าสตางค์ให้ติดตัวตลอดเวลา

 

เมื่อสมปรารถนา ให้กลับมาถวายเค้กหรือขนมหวานกับเทพเย่วเหล่าที่วัดหลงซาน หรือถ้ามีโอกาสกลับไปที่วัดหลงซานอีกครั้ง สามารถนำด้ายแดงเส้นเดิมมาวนเหนือกระถางธูปซ้ำให้ครบ 3 รอบ เพื่อเพิ่มพลังและความขลัง โดยไม่ต้องขอเส้นใหม่

 

ก่อนถึงทางออกประตูเสือ มีจุดเช่าบูชาเครื่องรางของวัดหลงซาน แม้จะมีให้เลือกละลานตา แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะเลือกไม่ถูก เพราะมีภาษาไทยเขียนกำกับไว้ สามารถบอกหมายเลขเครื่องรางที่ต้องการกับเจ้าหน้าที่ หลังจากที่ได้เครื่องรางมาแล้ว ให้นำไปวนรอบกระถางธูปใหญ่ตามเข็มนาฬิกาให้ครบ 3 รอบ ก่อนนำกลับมาบูชา

 

เรื่องที่แนะนำให้ขอพร : ความรัก ขอเนื้อคู่ ขอลูก การเรียน การสอบ และการเดินทาง

 

เปิดให้สักการะ : ทุกวัน เวลา 06.00 - 21.45 น. 

 

การเดินทาง : เดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน MRT สายสีน้ำเงิน เลือกลงที่สถานี Longshan Temple จากทางออก 1 ให้เลี้ยวขวาแล้วเดินตรงมาประมาณ 200 เมตร ใช้เวลาเดินเพียง 3 นาที จะเห็นวัดหลงซานอยู่ข้างหน้า

 

 

พม่า : เจดีย์โบตาทาวน์

ขอพรหนึ่งข้อให้สัมฤทธิ์ผลกับเทพทันใจ

 

วัดโบตาทาวน์ หรือ เจดีย์โบตาทาวน์ (Botataung Pagoda) เป็นหนึ่งในศูนย์รวมจิตใจของชาวพม่าในเมืองย่างกุ้ง เพราะชาวพม่าศรัทธาในพระพุทธศาสนาเหมือนกับคนไทย ทั่วบริเวณของวัดจึงคราคร่ำไปด้วยชาวพม่าและนักท่องเที่ยวที่เวียนกันมาสักการะเจดีย์โบตาทาวน์อย่างไม่ขาดสาย

 

ในภาษาพม่า โบ แปลว่า ทหาร ส่วนตาทาวน์ หรือตะทาวน์ แปลว่า หนึ่งพัน เจดีย์โบตาทาวน์ จึงหมายถึง เจดีย์ทหารพันนาย เป็นชื่อที่ตั้งตามตำนานที่ชาวพม่าเชื่อกันว่า ในอดีตราว 2,000 ปีก่อน พระเจ้าโอกะลาปะ กษัตริย์มอญผู้ศรัทธาพระพุทธศาสนา มีบัญชาให้ทหาร 1,000 นายตั้งแถวถวายสักการะแด่พระเกศาธาตุของพระพุทธเจ้า โดยอัญเชิญมาทางเรือจากประเทศอินเดีย จึงประสงค์ให้สร้างเจดีย์เพื่อเก็บรักษาพระเกศาธาตุ 1 เส้น ไว้เป็นมหาบูชาสถานของชาวมอญและชาวพม่า แต่เจดีย์องค์เดิมถูกทำลายจนสิ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ส่วนเจดีย์ที่เห็นในปัจจุบันนั้นสร้างขึ้นมาใหม่ พร้อมเปิดให้พุทธศาสนิกชนสามารถเดินเข้าไปสักการะบูชาพระเกศาธาตุที่ประดิษฐานอยู่ในใจกลางของเจดีย์ได้ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

 

สำหรับคนไทยมักจะรู้จักเจดีย์โบตาทาวน์ในชื่อ ‘วัดเทพทันใจ’ จากความนิยมเดินทางมาเพื่อขอพรกับเทพทันใจ ซึ่งอยู่ภายในศาลาริมน้ำด้านข้างของเจดีย์โบตาทาวน์

 

เทพทันใจ หรือที่ชาวพม่าเรียกว่า นัตโบโบยี มีใบหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางใจดี มือซ้ายถือไม้เท้า มือขวาชี้ไปข้างหน้าเข้าหาองค์เจดีย์โบตาทาวน์ เป็นเทพจุติจากวิญญาณของวีรชนที่เคยทำคุณงามความดีให้แก่บ้านเมืองเมื่อครั้งยังมีชีวิต คอยทำหน้าที่คุ้มครองดูแลองค์เจดีย์ ช่วยเหลือและบันดาลพรให้ชาวพม่ารวมถึงผู้ที่ตั้งใจมาบูชา

 

วิธีขอพรจากเทพทันใจ จะต้องใช้ชุดบูชาที่ประกอบด้วยมะพร้าว กล้วย ดอกไม้ เพราะเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์และความเจริญรุ่งเรืองของชีวิต นอกจากนี้ ยังต้องมีใบชนะ ผ้าคล้องคอ และร่มฉัตรกระดาษ เริ่มต้นด้วยการม้วนธนบัตร 2 ใบเป็นรูปกรวย (แนะนำให้ใช้เงินบาทไทย) แล้วสอดเข้าในมือของเทพทันใจ ตั้งนะโม 3 จบ ต่อด้วยบทบูชาต่อไปนี้ “โอม สิทธิการิยะ ข้าแต่ท่านท้าวเทพทันใจ โสโสมะมา จิตตะภะวัง มหาลาภัง อิติพุทธัสสะ สุวรรณนังวา ราชาตังวา มณีวา ธะนังวา ภีชังวา อัตถังวา ปัตตังวา เออิเอหิ อาคัจฉายะ อิติ ปรารถนาอันใดพึงสำเร็จมา นะมามีมา มหาลาโภ เทวะราชะ กะนัง เชยยะ เชยยะ ภะวันตุเม” บอกชื่อนามสกุล ที่อยู่ พร้อมอธิษฐานพรที่ปรารถนาเพียงข้อเดียวเท่านั้น

 

เสร็จแล้วให้ดึงธนบัตรมาเก็บไว้กับตัว 1 ใบ ยื่นหน้าผากของเราไปแตะชิดที่นิ้วชี้ของท่าน 1 ครั้ง รับใบชนะจากเจ้าหน้าที่ แล้วนำผ้าไปคล้องคอเทพทันใจเป็นอันเสร็จพิธี เชื่อกันว่าจะ ผู้บูชาจะได้รับพรสมปรารถนารวดเร็วทันใจ

 

เรื่องที่แนะนำให้ขอพร : สามารถขอได้ทุกเรื่องตามต้องการ แต่ให้ขอเพียงข้อเดียว

 

เปิดให้สักการะ : ทุกวัน เวลา 06.00 - 21.00 น. 

 

การเดินทาง : เจดีย์โบตาทาวน์ตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองย่างกุ้ง ห่างจากสนามบินประมาณ 15 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 30 - 40 นาที แนะนำให้เรียกรถแท็กซี่ เพราะเป็นวิธีเดินทางที่ง่าย สะดวก และรวดเร็วที่สุด ที่สำคัญนักท่องเที่ยวต้องจ่ายค่าเข้าเจดีย์โบตาทาวน์ คนละ 6,000 จ๊าตพม่า (ประมาณ 106 บาท)

 

 

ลาว : วัดพระธาตุหลวง เวียงจันทน์

สักการะพญานาคและบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์

 

พญานาค เป็นหนึ่งในความเชื่อที่เชื่อมโยงถึงกันระหว่างบ้านพี่เมืองน้องของสองประเทศริมฝั่งแม่น้ำโขง เพราะในประเทศไทยมีป่าคำชะโนด จังหวัดอุดรธานี เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างเมืองบาดาลของพญานาคกับโลกมนุษย์ ส่วนประเทศลาว มีอยู่ภายใน วัดพระธาตุหลวง เวียงจันทน์ (Pha That Luang Vientiane)

 

วัดพระธาตุหลวง เวียงจันทน์ หรือ พระเจดีย์โลกะจุฬามณี ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเวียงจันทน์ องค์พระธาตุมีความสูงจากฐานถึงยอดเจดีย์ 45 เมตร ลักษณะคล้ายดอกบัว เป็นสัญลักษณ์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเอาไว้ รอบพระเจดีย์ใหญ่ มีองค์เจดีย์ขนาดเล็ก 30 องค์ล้อมรอบแทนบารมี 30 ประการที่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญเพียรจนบรรลุธรรม

 

ถัดออกมาจากองค์พระธาตุ คือกำแพงที่สร้างเป็นทางเดินสี่เหลี่ยมจัตุรัสสำหรับชมพระพุทธรูปเก่าแก่และโบราณวัตถุจำนวนมาก วัดพระธาตุหลวง เวียงจันทน์ จึงเป็นทั้งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศลาว

 

ชาวลาวเชื่อว่า บ่อน้ำทิพย์ ในบริเวณวัดพระธาตุหลวง เวียงจันทน์ เป็นประตูที่ พญาศรีสัตตนาคราช หรือ นาคาธิบดีสีสัตตนาคบาดาล กษัตริย์แห่งพญานาคใช้ขึ้นลงระหว่างวังนาคินทร์ในเมืองบาดาลกับโลกมนุษย์ เพื่อปฏิบัติธรรมและดูแลแม่น้ำโขงฝั่งลาว ซึ่งท่านเป็นสหายกับ พญาศรีสุทโธนาคราช กษัตริย์พญานาคแห่งป่าคำชะโนด ผู้ดูแลแม่น้ำโขงฝั่งไทย ทั่วทั้งวัดพระธาตุหลวง เวียงจันทน์ จึงปรากฏประติมากรรมพญานาค เพื่อเป็นสัญลักษณ์บอกอาณาเขตในความปกครองของพญาศรีสัตตนาคราช

 

วิธีบูชาพญาศรีสัตตนาคราช เริ่มจากจุดธูป เทียน อธิษฐานขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ในวัดและพญาศรีสัตตนาคราช ให้ท่านอำนวยช่วยอวยพรให้สมปรารถนา เสร็จแล้วต้องไม่ลืมประพรมน้ำจากบ่อน้ำทิพย์ตามร่างกาย เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

 

ใครก็ตาม หากเป็นนักท่องเที่ยวสายมูที่นับถือพญานาค ต้องหาโอกาสแวะมากราบไหว้ขอพรที่วัดพระธาตุหลวง เวียงจันทน์แห่งนี้ให้ได้

 

เรื่องที่แนะนำให้ขอพร : โชคลาภ ความสำเร็จ ชื่อเสียง เงินทอง ชีวิตรุ่งโรจน์

 

เปิดให้สักการะ : ทุกวัน แบ่งเป็น 2 ช่วงเวลา 08.00 - 12.00 น. และ 13.00 - 16.00 น.

 

การเดินทาง : สามารถขับรถยนต์ข้ามพรมแดนไทย-ลาว ผ่านด่านหนองคาย-เวียงจันทน์ มุ่งหน้าสู่วัดพระธาตุหลวง เวียงจันทน์ ซึ่งมีระยะทาง 23 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 40 นาที เมื่อถึงวัด จะต้องจ่ายค่าเข้าคนละ 30,000 กีบ (ประมาณ 60 บาท)

 

 

กัมพูชา : ศาลพระองค์เจ๊ะพระองค์จอม

เยือนสถานที่มงคลคู่บ้านคู่เมืองเสียมเรียบ

 

ศาลพระองค์เจ๊ะพระองค์จอม หรือที่คนกัมพูชาเรียกว่า เปรี๊ยะอองเจ๊ะขเปรี๊ยะอองจอม (Preah Ang Chek-Preah Ang Chorm) ภายในเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปสองพี่น้องในอิริยาบถยืน องค์ด้านขวามือ ซึ่งอยู่สูงกว่าเล็กน้อย คือ องค์เจ๊ะ หรือ เปรี๊ยะอองเจ๊ะข แปลว่า พระองค์สูง ส่วนองค์ด้านซ้าย คือ องค์จอม หรือ เปรี๊ยะอองจอม แปลว่า พระองค์เตี้ย

 

ประวัติความเป็นมาของพระองค์เจ๊ะพระองค์จอมนั้นมีหลายตำนาน แต่ตำนานที่เป็นไปได้มากที่สุดมีความเกี่ยวข้องกับนครวัด ชาวกัมพูชาสันนิษฐานกันว่า พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 กษัตริย์แห่งอาณาจักรขอม (กัมพูชาสมัยโบราณ) พระองค์แรก ประสงค์ให้สร้างพระพุทธรูป 2 องค์ ประดิษฐานไว้ในนครวัด เพื่อทำพิธีนมัสการ เนื่องจากพระองค์ทรงเลื่อมใสในพุทธศาสนาอย่างมาก จนกระทั่งกาลเวลาผ่านไป พระองค์เจ๊ะพระองค์จอมถูกผู้ไม่หวังดีเคลื่อนย้ายออกไปโดยพลการ หลังจากตามกลับมาได้ช่วงปลายปี ค.ศ. 1950 จึงมีการจัดตั้งศาลในพื้นที่สวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ให้เป็นที่ประดิษฐานใหม่ของพระองค์เจ๊ะพระองค์จอมนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

ในแต่ละวัน ทั่วบริเวณของศาลทั้งภายในและภายนอก จะอบอวลไปด้วยบรรยากาศคึกคักของผู้คน มีทั้งชาวบ้านท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวที่ตั้งใจเดินทางมากราบไหว้ขอพร รวมถึงมีกลุ่มนักดนตรีชาวกัมพูชาคอยบรรเลงเพลงขับกล่อมอยู่บริเวณโถงด้านหน้าของศาล ช่วยเพิ่มมนต์ขลังให้กับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองเสียมเรียบแห่งนี้

 

ตามความเชื่อของชาวกัมพูชา พรที่ขอจะสัมฤทธิ์ผลได้ก็ต่อเมื่อ ผู้ที่ขอพรต้องเป็นคนจิตใจดี ประพฤติตนอยู่ในครรลองครองธรรม และไม่ละโมบโลภมาก จึงเป็นที่มาของการขอพรได้เพียงหนึ่งข้อ ส่วนวิธีการขอพรกับพระองค์เจ๊ะพระองค์จอม ให้ซื้อชุดบูชากับเจ้าหน้าที่ ซึ่งประกอบด้วย ดอกบัวและธูป จากนั้นให้ถอดรองเท้าก่อนเข้ามาภายในศาล โดยมีข้อแม้ว่า ต้องหันหัวรองเท้าที่ถอดออกไปทางเข้าด้านประตูหน้าศาลแทน เสร็จแล้วให้จุดธูป ตั้งจิตอธิษฐานขอพรต่อหน้าพระองค์เจ๊ะพระองค์จอม จบขั้นตอนขอพรด้วยการปักธูปในกระถาง พร้อมกับตักน้ำมนต์รดเท้าของท่านทั้งสอง

 

เรื่องที่แนะนำให้ขอพร : สามารถขอได้ทุกเรื่องตามต้องการ แต่ให้ขอเพียงข้อเดียว

 

เปิดให้สักการะ : ทุกวัน เวลา 06.00 - 22.00 น.

 

การเดินทาง : แนะนำใช้บริการเช่ารถสามล้อเครื่องสกายเเลปกับคนขับท้องถิ่น สามารถต่อรองค่าบริการได้ คนขับบางรายที่สื่อสารภาษาไทยได้ จะรับหน้าที่เป็นไกด์นำเที่ยวตามสถานที่สำคัญ เป็นตัวเลือกที่ช่วยให้นักเที่ยวสายมูชาวไทยสัมผัสกับบรรยากาศของเมืองเสียมเรียบได้เป็นอย่างดี

 

 

อินเดีย : เทวาลัยพระพิฆเนศ ดั๊กดูเศรษฐ์ ฮาลไว คณาปิติ

สักการะพระพิฆเนศ องค์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

 

ปูเน่ (Pune) ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งพระพิฆเนศอย่างแท้จริง เพราะทั่วทั้งเมืองเป็นที่ประดิษฐานขององค์พระพิฆเนศที่มีความศักดิ์สิทธิ์หลายองค์ โดยองค์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ในหมู่ชาวอินเดียและนักเที่ยวสายมูที่บูชาพระพิฆเนศ คือองค์ที่มีพระนามว่า พระพิฆเนศดั๊กดูเศรษฐ์ (Dagdusheth) ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายใน เทวาลัยพระพิฆเนศวร ดั๊กดูเศรษฐ์ ฮาลไว คณาปิติ (Shreemant Dagdusheth Halwai Ganpati Mandir)

 

เดิมที ดั๊กดูเศรษฐ์ ฮาลไว เป็นชื่อของนักทำขนมชาวอินเดียที่ย้ายมาตั้งถิ่นฐานและเปิดร้านขายขนมในเมืองปูเน่ จนมีชื่อเสียงโด่งดังและกลายเป็นคนร่ำรวย หลังจากมีความสุขได้ไม่นาน เขากลับต้องตกอยู่ในความเสียใจ เพราะสูญเสียลูกชายที่ป่วยไข้จากโรคระบาด

 

แต่ด้วยคำแนะนำจากพราหมณ์อาวุโสและศรัทธาอันแรงกล้าต่อองค์พระพิฆเนศ เขาจึงอุทิศเงินสร้างเทวาลัยพระพิฆเนศปางมหาเศรษฐีที่หล่อจากทองคำแท้ไว้เป็นอนุสรณ์แด่ลูกชายผู้ล่วงลับ ซึ่งแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1893 ชีวิตของเขาจึงพลิกฟื้นกลับมาหายจากอาการโศกเศร้าและประสบความสำเร็จอีกครั้ง เกิดเป็นคำร่ำลือไปทั่ว จนผู้คนแห่มาสักการะพระพิฆเนศดั๊กดูเศรษฐ์ และได้รับพรตามที่หวัง ทั้งโชคลาภ ความร่ำรวย และความเจริญในอาชีพการงานกันอย่างถ้วนหน้า

 

ชาวอินเดียเชื่อว่า พระพิฆเนศปางมหาเศรษฐี จะประทานพรแห่งความสำเร็จและความร่ำรวยให้ผู้บูชา เพราะท่านมี 4 กร พระกรซ้ายหน้าถือถุงทอง ให้พรเรื่องโชคลาภและความร่ำรวย พระกรขวาหน้า เป็นปางประทานพรพร้อมถืออาหาร ให้พรเรื่องความอุดมสมบูรณ์ และความร่มเย็น พระกรทั้ง 2 ด้านหลัง ถือดอกบัว ช่วยขจัดทุกปัญหา สิ่งอัปมงคล และอุปสรรค นำชีวิตสู่ความเจริญรุ่งเรือง

 

หลังจากได้รับพร บรรดาผู้ที่ศรัทธาจะนำเงินและทรัพย์สินเงินทองที่ได้ มาถวายแด่องค์พระพิฆเนศดั๊กดูเศรษฐ์ เพื่อแสดงความเคารพบูชาในความศักดิ์สิทธิ์ ทั้งเทวาลัย อาภรณ์ภัณฑ์ และเครื่องทรงขององค์พระพิฆเนศ จึงประดับด้วยอัญมณี เพชรนิลจินดา และทองคำเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนได้รับการขนานนามว่าเป็นพระพิฆเนศองค์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

 

วิธีบูชาองค์พระพิฆเนศดั๊กดูเศรษฐ์ ให้ถวายของที่ท่านโปรด เช่น กล้วยสุก ธัญพืช นม น้ำมะพร้าว น้ำอ้อย ขนมหวาน เครื่องเทศ โดยจัดวางไว้บนภาชนะใหม่ที่ไม่ผ่านการใช้งานมาก่อน พร้อมพวงมาลัยและช่อดอกไม้ จากนั้นให้พนมมือตั้งใจท่องบทบูชา “โอม ศรี คเณศายะ นะมะฮา” 1 จบ แล้วขอพรตามหวังที่อยากให้สำเร็จผล

 

นอกจากนี้ ในแต่ละปีจะมีการจัดเทศกาลคเณศจตุรถี โดยอัญเชิญพระพิฆเนศดั๊กดูเศรษฐ์ แห่ออกมาประดิษฐานอยู่ภายใต้ซุ้มที่ออกแบบและตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจง เป็นความสวยงามอลังการที่หาดูได้ปีละครั้ง เพื่อให้ผู้คนจากทั่วสารทิศสามารถเข้าถึงองค์พระพิฆเนศดั๊กดูเศรษฐ์และสักการะได้ตามความตั้งใจ

 

เรื่องที่แนะนำให้ขอพร : ความสำเร็จในทุก ๆ เรื่อง ความร่ำรวย ความอุดมสมบูรณ์พูนสุข และโชคลาภ

 

เปิดให้สักการะ : ทุกวัน เวลา 06.00 - 22.30 น.

 

การเดินทาง : การจราจรของถนนในเมืองปูเน่ค่อนข้างแออัด เพื่อความสะดวกสบายแนะนำให้ใช้บริการรถแท็กซี่แทนรถประจำทาง

 

 

อ้างอิง

SHARE

facebook
twitter
copy
Related articles / บทความที่เกี่ยวข้อง
Loading...