ใช้มอเตอร์เวย์ M81 ก่อนใคร ไป 'กาญจนบุรี’ เช็กอินสกายวอล์กสองแควและสวนดอกไม้สีรุ้งที่มีปีละครั้ง

27 Dec 2024 - 5 mins read

Travel / Thailand

Share

ข่าวดีสำหรับคนที่ชอบขับรถไปเที่ยวกาญจนบุรี ดินแดนแห่งขุนเขาและธรรมชาติสุด Unseen แห่งภาคตะวันตกของไทย

 

เพราะปี 2568 กรมทางหลวงพร้อมแล้วกับการเปิดให้บริการโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 81 สายบางใหญ่ - กาญจนบุรี หรือเรียกสั้น ๆ ว่ามอเตอร์เวย์ M81 ที่มีการเปิดให้ทดลองใช้งานฟรีในช่วงปลายปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา และพร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบภายในไตรมาสแรกของปี พ.ศ. 2568 ร่นทั้งระยะทางและเวลา สามารถเดินทางจากบางใหญ่ไปถึงเมืองกาญฯ ได้ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง

 

มอเตอร์เวย์ M81 เริ่มต้นที่จุดตัดทางหลวงพิเศษหมายเลข 9 ด้านตะวันตกกับถนนรัตนาธิเบศร์ บริเวณทางแยกต่างระดับบางใหญ่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี และไปบรรจบกับทางหลวงหมายเลข 324 (ถนนกาญจนบุรี-อ.พนมทวน) อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี มีระยะทางรวมประมาณ 96 กิโลเมตร และใช้เวลาในการขับรถแบบยาว ๆ ราว 1 ชั่วโมงเท่านั้น

 

ขับรถจากบางใหญ่ไปเที่ยวเมืองกาญจน์ได้สะดวกทันใจภายในชั่วโมงเดียวแบบนี้ LIVE TO LIFE ขออาสาปักหมุดพิกัดเที่ยวทั่วกาญจน์ในละแวกไม่ไกลจากมอเตอร์เวย์ สามารถขับรถตระเวนเที่ยวแบบ One Day Trip ได้ถึง 3 อำเภอ คือ อำเภอเมือง อำเภอท่าม่วง และ อำเภอด่านมะขามเตี้ย ที่ครบครันสถานที่เที่ยวตอบโจทย์ทุกความต้องการของสมาชิกทุกวัยในครอบครัว

 

เต็มอิ่มกับบุฟเฟต์ลำไย เพลินใจในสวนดอกไม้หลากสี

‘Maple Gardens สวนเมเปิ้ล’

อำเภอเมืองกาญจนบุรี

 

ประเดิมสถานที่แรกกันด้วยสวนผลไม้และสวนดอกไม้ที่เปิดให้เข้าชมปีละครั้ง โดยพิกัดของ ‘สวนเมเปิ้ล’ นั้นอยู่ใกล้กับทางออกมอเตอร์เวย์ด่านกาญจนบุรี ระยะทางไม่ถึง 5 กิโลเมตร

 

พื้นที่สวนขนาด 17 ไร่แห่งนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่ถูกเนรมิตขึ้นโดย จิรโมท จอยจรัส เกษตรกรรุ่นใหม่วัยสามสิบต้น ๆ ที่เกิดไอเดียในการเปิดสวนเกษตรครบวงจร ที่มีทั้งแปลงดอกไม้ พืชผักสวนครัว และผลไม้เมืองหนาว เพราะต้องการแก้ปัญหาการถูกกดราคาผลผลิตจากพ่อค้าคนกลาง และเพื่อให้บุคคลทั่วไปได้มีโอกาสท่องเที่ยวสัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด 

 

สวนเมเปิ้ลแบ่งพื้นที่แต่ละโซนแยกกันอย่างเป็นสัดส่วน แต่ก็เชื่อมต่อเข้าถึงกันได้อย่างเป็นหนึ่งเดียว โดยหลังจากซื้อบัตรผ่านประตูเข้ามาแล้วจะได้สัมผัสกับความร่มรื่นจากต้นลำไยที่แย่งกันชูช่อออกดอกออกผลทุกต้น ทางด้านขวามือเป็นโซนบุฟเฟต์ลำไย สำหรับนั่งรับประทานลำไยสด ๆ ใต้ต้นลำไย มีเก้าอี้ผ้าใบเอนหลังได้แบบชิล ๆ หรือจะนั่งบนเสื่อก็เพลินไปอีกแบบ ทางสวนการันตีว่าลำไยทุกพวงตัดสดใหม่จากต้นโดยไม่มีการนำไปอบสารกำมะถัน สามารถกินได้ไม่อั้นอย่างปลอดภัย

 

ในขณะที่โซนบ้านสัตว์ในฟากซ้ายมือก็อบอุ่นไปด้วยบรรยากาศของเด็ก ๆ และผู้ปกครองที่สนุกตื่นเต้นกับการได้ใกล้ชิดกับสัตว์นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นแพะแคระ ปลาคาร์ป ห่าน ไก่ กระต่าย เต่า นกแก้วซันคลอนัวร์ ฯลฯ และมีบ้านฮอบบิทเป็นจุดถ่ายรูปสนุก ๆ ได้อารมณ์เหมือนหลุดไปอยู่ในดินแดนแฟนตาซี

 

ด้านหลังโซนบ้านสัตว์เป็นพื้นที่ของแปลงผักสวนครัวขนาดใหญ่ที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจสามารถเลือกตัดพืชผักออร์แกนิกได้ด้วยตัวเอง แล้วนำไปชั่งกิโลจ่ายสตางค์ในราคาย่อมเยากว่าท้องตลาด

 

โซนสุดท้ายที่ถือเป็นไฮไลต์ที่มีปีละครั้งของที่นี่ คือ สวนดอกไม้สุดอลังการ เต็มไปด้วยสีสันครบทุกเฉด โดดเด่นด้วยเจ้ากระต่ายยักษ์ที่นั่งเด่นเป็นแลนด์มาร์กให้ทุก ๆ คนได้ถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก หรืออีกมุมที่ราวกับจำลอง Gardens by the Bay ของสิงคโปร์มาไว้ที่กาญจนบุรีได้อย่างแนบเนียน

 

มั่นใจว่าคนที่รักการถ่ายรูปหรือสายคอนเทนต์ต้องใช้เวลาอยู่ที่สวนเมเปิ้ลได้นานครึ่งค่อนวัน เพราะมีมุมถ่ายรูปสวย ๆ เยอะมาก เหนื่อยนักก็พักเติมพลังด้วยลำไยที่กินได้ไม่อั้น แนะนำว่าสวนเมเปิ้ลเหมาะเป็นอย่างยิ่งกับการมาเที่ยวกันทั้งครอบครัว เพราะมีทุกความชอบของคนทุกวัยเตรียมไว้ที่นี่ทั้งหมดแล้ว

 

สวนเมเปิ้ลเปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2568 

 

Maple Gardens - สวนเมเปิ้ล

ค่าบริการ : ผู้ใหญ่ 139 บาท เด็ก 75 บาท (เด็กส่วนสูงไม่เกิน 120 ซม. เข้าฟรี)

ที่ตั้ง : ต.ลาดหญ้า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี 

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/zc9KxsSv1i94QoZj9

เวลาบริการ : ทุกวัน เวลา 07.00 - 18.00 น. (ปิดจำหน่ายบัตรเวลา 17.30 น.)

โทร : 099 476 5073

Facebook : Maple Gardens - สวนเมเปิ้ล

 

เดินเล่นเก็บตะวันใต้ฟ้าสีคราม

‘สวนดอกไม้บ้านไร่นายรุ่ง’

อำเภอด่านมะขามเตี้ย

 

อีกหนึ่งทุ่งดอกไม้ยอดนิยมประจำกาญจนบุรีที่เปิดให้เข้าชมเพียงปีละครั้ง ตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคมไปจนถึงเดือนมกราคม บริหารงานโดยเกษตรกรรุ่นใหม่เช่นกัน

 

จุดเริ่มต้นของสวนดอกไม้บ้านไร่นายรุ่งเริ่มจาก วงชกร รัศมีธนาธร ต้องการมีพื้นที่ทำสวน เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา ฯลฯ จึงลงมือสร้างสวนเกษตรเล็ก ๆ ในบริเวณหลังบ้าน ในขณะที่เมื่อมองไปยังพื้นที่อีก 9 ไร่บริเวณหน้าบ้านซึ่งติดกับถนนใหญ่ที่ยังว่างอยู่ เขาเลยเริ่มปลูกปอเทืองเพื่อปรับหน้าดิน 

 

หลังจากนั้นวงชกรได้ลองปลูกดอกทานตะวันทั่วทั้งพื้นที่เพื่อความสวยงาม โดยยังไม่ได้ตั้งใจจะทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่เมื่อเล็งเห็นว่าอำเภอด่านมะขามเตี้ยมีสถานะเป็นอำเภอรอง ๆ ในกาญจนบุรีที่นักท่องเที่ยวมักใช้เป็นทางผ่านไปยังสถานที่ท่องเที่ยวหลักในอำเภออื่น เขาจึงลองโปรโมตทุ่งทานตะวันให้นักท่องเที่ยวรู้จักในช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ. 2563 ปรากฏว่าผลตอบรับออกมาดีเกินคาด ต้นปีถัดมาเขาจึงเนรมิตทุ่งดอกคอสมอสสีชมพู ทุ่งซีโลเซียหลากสี แปลงบลูซันเวียสีขาวและสีม่วงให้บานสะพรั่ง พลิกสถานะให้สวนดอกไม้บ้านไร่นายรุ่งเป็นที่รู้จักตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2564 เป็นต้นมา

 

ปัจจุบัน สวนดอกไม้บ้านไร่นายรุ่งเปิดสวนให้นักท่องเที่ยวได้มาเยี่ยมชมความสวยงามของทุ่งดอกไม้เป็น Season ที่ 9 แล้ว โดยปีนี้เป็นบรรยากาศของทุ่งทานตะวัน เหมือนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นในปีแรกอีกครั้ง นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินกับเส้นทางเดินลัดเลาะชมความสดใสของทุ่งดอกทานตะวันไปตามลู่สีฟ้า ลอดซุ้มพวงชมพู ถ่ายภาพกับบ้านแดง รถไฟจำลอง และมีจุดถ่ายรูปบันไดสวรรค์ที่ใครไปต้องขอเช็กอินให้ได้

 

สวนทานตะวันบ้านไร่นายรุ่งเปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2567 ถึงวันที่ 12 มกราคม 2568

 

สวนดอกไม้บ้านไร่นายรุ่ง 

ค่าบริการ : ผู้ใหญ่ 50 บาท เด็ก 10 บาท สามารถนำสัตว์เลี้ยงเข้าได้ โดยมีสายจูงหรือรถเข็น

ที่ตั้ง : ต.กลอนโด อ.ด่านมะขามเตี้ย จ.กาญจนบุรี

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/8KuaA4SfMSJdd9aT9

เวลาทำการ : ทุกวัน เวลา 07.30- 18.30 น.

โทร :  089 051 9242

Facebook : บ้านไร่นายรุ่ง Baan Rai Nai Rung 

 

ขอพรจากพระโพธิสัตว์กวนอิมพันกร

‘วัดเมตตาธรรมโพธิญาณ’

อำเภอเมืองกาญจนบุรี

 

ขอพรปีใหม่จากพระโพธิสัตว์กวนอิมพันกรองค์ใหญ่แกะสลักจากไม้หอมสูง 12 เมตร ณ วัดเมตตาธรรมโพธิญาณ วัดมหายานจีนนิกาย ซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางทิวเขาที่ทั้งสวยงามและสงบร่มเย็น

 

 

วัดเมตตาธรรมโพธิญาณ มีชื่อในภาษาจีนว่า “ฉื่อปุยซ้อผู่ทีเซียมยี่” เริ่มต้นก่อสร้างในปี พ.ศ. 2537 โดย พระอาจารย์เย็นหมง จากวัดโพธิ์เย็น อำเภอท่ามะกา โดยหลังจากท่านเดินทางธุดงค์มาปฏิบัติธรรมในบริเวณนี้ และเห็นว่าพื้นที่ตรงนี้มีความเหมาะสมที่จะสร้างวัด จึงได้มีการก่อตั้งมูลนิธิเมตตาธรรมโพธิญาณขึ้น และขอซื้อสิทธิที่ดินจากชาวบ้าน เพื่อสร้างวัดเมตตาธรรมโพธิญาณขึ้น

องค์พระประธานสามพระองค์

 

เมื่อเดินทางมาถึงภายในบริเวณวัดแล้ว แนะนำให้ไปไหว้พระประธานสามพระองค์ที่ศาลาโพธิญาณเฉลิมพระเกียรติเป็นอันดับแรก เพราะศาลาแห่งนี้ถือเป็นวิหารหลักในการประกอบศาสนพิธีต่าง ๆ ของทางวัด และเป็นที่ประดิษฐานองค์พระประธานสามพระองค์ ตามคติฝ่ายพุทธมหายาน ได้แก่ พระศากยมุนีพุทธเจ้า พระอมิตาพระพุทธเจ้า และพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา นอกจากนี้ ด้านขวายังประดิษฐานพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ และด้านซ้ายประดิษฐานองค์พระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรกวนซืออิมผ่อสัก

พระสังกัจจายน์

 

สำหรับใครที่ต้องการขอพรด้านเงินทองโชคลาภ แนะนำให้ไหว้พระสังกัจจายน์บริเวณหน้าประตูศาลา โดยเปิดกระเป๋าสตางค์ออก แล้ววางไว้หน้าองค์ จากนั้นลูบองค์ท่านจากตัวลงมายังขา 3 ครั้ง พร้อมตั้งจิตอธิษฐานอย่างตั้งใจ

ศาลาไท้ส่วยเอี๊ย

 

จากนั้นให้ไปที่ ศาลาไท้ส่วยเอี๊ย หรือศาลาองค์เทพเจ้าผู้คุ้มครองดวงชะตาทั้ง 60 ราศี ภายในเป็นที่ประดิษฐานเทพเจ้าแกะสลักจากไม้มงคล 60 พระองค์ ซึ่งเชื่อว่าคอยปกป้องดวงชะตาชันษาของมนุษย์ให้ปลอดภัยจากภัยพิบัติและอุปสรรคต่าง ๆ ในช่วงตรุษจีนของทุกปี คนไทยเชื้อสายจีนจึงนิยมเดินทางมาที่นี่เพื่อฝากดวง โดยเขียนชื่อ วันเดือนปี และเวลาเกิดของตนในชุดฝากดวง เพื่อขอฝากดวงกับองค์เทพเจ้าไท้ส่วยเอี๊ยประจำปีของตนเพื่อให้คุ้มครองตลอดปี 

วิหารพระอวโลกิเตศวรกวนอิมมหาโพธิสัตว์

 

ปิดท้ายกันที่ วิหารพระอวโลกิเตศวรกวนอิมมหาโพธิสัตว์ โดยก่อนเข้าวิหาร แนะนำให้จุดเทียนสีแดงเพื่อเป็นแสงส่องนำทางให้ชีวิตดีขึ้น ก่อนเข้าไปยังภายในวิหารที่ประดิษฐานพระโพธิสัตว์กวนอิมพันกร 4 ทิศ แกะสลักจากไม้หอมด้วยมือ มีความสูงถึง 12 เมตร ถือเป็นศิลปะที่ทั้งงดงาม ยิ่งใหญ่ ในขณะเดียวกันเมื่อพิศมององค์ท่านก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงเมตตาและเกิดความสงบขึ้นภายในใจ 

 

ภายในวิหารยังโดดเด่นด้วยเสาไม้ขนาดใหญ่สลักลวดลายมังกรพันรอบเสาอย่างสวยงาม บริเวณโดยรอบวิหารเป็นที่ประดิษฐานองค์พระมหากวนอิมโพธิสัตว์ 84 ปาง ซึ่งแกะสลักจากไม้หอมและเปี่ยมด้วยความงดงามทุกพระองค์ 

 

บริเวณโดยรอบวิหารยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานให้สักการะอีกหลายองค์ อาทิ พระพุทธรูปปางไสยาสน์แกะสลักด้วยไม้ทั้งองค์ และวิหารพระพิฆเนศวรที่มีผู้คนมาสักการะอย่างเนืองแน่นทุกวัน

 

วัดเมตตาธรรมโพธิญาณ 

ที่ตั้ง : 99/10 ต.หนองหญ้า อ.เมืองกาญจนบุรี จ.กาญจนบุรี

พิกัด : https://goo.gl/maps/tG5MRBsQR5VcyRoh6  

เวลาทำการ : ทุกวัน เวลา 08.00 - 17:30 น.

โทร : 034 531 626, 034 531 388

Facebook : วัดเมตตาธรรมโพธิญาณ 慈悲山菩提禪寺 

 

ชมวิวเมืองกาญจน์มุมสูงและแม่น้ำสองสี

‘สกายวอล์กสองแคว’

อำเภอเมืองกาญจนบุรี

 

หลังจากเปิดให้บริการเมื่อปลายปี พ.ศ. 2565 เป็นต้นมา ‘สกายวอล์กสองแคว’ ก็กลายเป็นแลนด์มาร์กยอดนิยมประจำจังหวัดกาญจนบุรี ที่ใคร ๆ ต้องหาโอกาสมาเช็กอินและชมวิวเมืองกาญจน์มุมสูงจากบนสะพานพื้นกระจกแห่งนี้

 

สกายวอล์กสองแควมีความสูง 12 เมตร วัดจากพื้นถนน พื้นทำจากกระจกใส ดังนั้น ก่อนที่นักท่องเที่ยวทุกคนจะได้ขึ้นไปเยือนแลนด์มาร์กใหม่ของเมืองกาญจน์แห่งนี้จะต้องชำระค่าผ่านประตูเป็นค่ารองเท้าผ้า ราคาคนละ 60 บาท เพื่อสวมทับรองเท้าเพื่อป้องกันการเกิดริ้วรอยขีดข่วนบนพื้นกระจก 

 

หลังจากเก็บข้าวของทุกชิ้นในตู้ล็อกเกอร์เป็นที่เรียบร้อย ก็กดลิฟต์ (หรือเดินขึ้นบันได) ไปยังชั้น 4 เพื่อชมทิวทัศน์กาญจนบุรีมุมสูง สำหรับผู้ที่กลัวความสูงอาจรู้สึกหวาดเสียวอยู่บ้าง เพราะสกายวอล์กเป็นพื้นกระจกตลอดเส้นทาง แต่แนะนำว่าอย่ามองลงไปบนพื้น แล้วปล่อยใจเสพความงดงามของทิวทัศน์รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิตริมฝั่งแม่น้ำแควใหญ่ เรือท่องเที่ยวแล่นฉิวในแม่น้ำ ทิวเขาที่ทอดยาวเป็นฉากหลังไกล ๆ ฯลฯ

 

หากเดินไปด้านขวาของสะพานจะมองเห็นวิวหอพระประวัติสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก แลดูยิ่งใหญ่อลังการ ส่วนทางด้านซ้ายของสะพานสามารถมองเห็นจุดบรรจบของแม่น้ำแควน้อยและแควใหญ่ที่มารวมกันแล้วเกิดเป็นแม่น้ำแม่กลอง

 

ข้อควรระวังเพียงอย่างเดียวของการเดินชมทิวทัศน์บนสกายวอล์กสองแคว คือ เป็นบริเวณที่เกิดไฟฟ้าสถิตง่าย ระมัดระวังการสัมผัสราวสแตนเลสหรือเดินเฉียดบุคคลอื่น เพราะอาจรู้สึกเหมือนถูกไฟช็อตเบา ๆ

 

ใกล้กับสกายวอล์กสองแควมีอีกหนึ่งพิกัดถ่ายรูปน่ารัก ๆ อย่างสะพานที่สั้นที่สุดในประเทศไทย นั่นคือ สะพานสองแคว ที่มีความยาวเพียง 2 เมตร สมกับที่ได้ตำแหน่งสะพานที่สั้นที่สุดในประเทศไทย แวะไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันได้

 

สกายวอล์กสองแคว

ค่าบริการ : ค่ารองเท้าสำหรับใส่เดินบนสกายวอล์ก คนละ 60 บาท

ที่ตั้ง : ถ.สองแคว ต.บ้านใต้ อ.เมืองกาญจนบุรี

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/JKhshXsGE1uT7crx7

เวลาทำการ : ทุกวัน เวลา 08.00 - 19.00 น.

โทร : 098 952 0628

Facebook : สกายวอร์คสองแคว แม่กลอง - Skywalk Songkwae Mae klong 

 

อาบป่าฮีลใจใกล้ชิดธรรมชาติ

‘บ้านกลางป่า Into the Forest’

อำเภอท่าม่วง

 

ไม่ไกลจากทางออกมอเตอร์เวย์ M81 ด่านท่าม่วง เพียงเลี้ยวเข้าซอยเล็ก ๆ ที่ห่างจากถนนใหญ่ไม่กี่กิโลเมตร กลับให้ความรู้สึกราวหลุดไปอยู่อีกโลก ท่ามกลางป่าโปร่งมากมายด้วยไม้ใหญ่ เราจะเจอกับป้าย ‘อาบป่า forest bathing base’ อันเป็นจุดหมายชาร์จพลังใจประจำทริปนี้

 

ตามความหมายของป้ายดังกล่าวระบุว่าที่นี่เป็น ‘ศูนย์กลางการอาบป่า’ ซึ่งเปิดบ้านต้อนรับผู้ที่อยากเรียนรู้ศาสตร์การอาบป่า เพื่อถอดตัวเองออกจากชีวิตประจำวัน และเชื่อมต่อชีวิตเข้ากับธรรมชาติ โดยมี ป้าแอ๊ด - ทิพวัน ถือคำ รับหน้าที่ผู้นำการอาบป่า หนทางแห่งการพักผ่อน เยียวยา บำบัดร่างกายและจิตใจ

 

ป้าแอ๊ดเป็นคุณครูวัยเกษียณที่สนใจเรื่องการอาบป่าและไปเรียนรู้ศาสตร์การอาบป่าที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นต้นแบบของศาสตร์แขนงนี้ และได้นำวิชาอาบป่ามาถ่ายทอดสู่คนไทยในรูปแบบของที่พักที่มีชื่อว่า ‘บ้านกลางป่า Into The Forest’ 

 

ในฐานะผู้นำอาบป่าของกลุ่มอาบป่ากาญจนบุรี ป้าแอ๊ดจึงรับหน้าที่ดูแลแขกที่มาพัก ณ บ้านกลางป่า และนำพาพวกเขาให้ค่อย ๆ รู้จัก เรียนรู้ และซึมซับการอาบป่าไปทีละขั้นตอน โดยป้าแอ๊ดแนะนำว่าควรเข้าพักที่นี่ก่อน 1 คืน เพื่อปรับจูนร่างกายและจิตใจที่เพิ่งหลีกหนีจากความวุ่นวายในเมืองใหญ่มาสู่ใจกลางธรรมชาติ จากนั้นจึงค่อยตื่นเช้ามารับประทานอาหารสุขภาพที่ปรุงจากพืชผักสวนครัวที่ป้าแอ๊ดปลูกเอง

ป้าแอ๊ด - ทิพวัน ถือคำ

ผู้นำการอาบป่าแห่งบ้านกลางป่า Into The Forest

 

จากนั้น ป้าแอ๊ดจึงค่อยนำผู้เข้าร่วมกิจกรรมนั่งล้อมวงแล้วอธิบายเรื่องการอาบป่าตั้งแต่จุดเริ่มต้นของศาสตร์แขนงนี้ ก่อนจะพาทุกคนเดินเข้าไปทำกิจกรรมทำความรู้จักป่าและต้นไม้แถบนั้น เช่น ต้นตะโก ต้นงิ้ว ต้นซาก ต้นแจง มะกอกป่า ฯลฯ ระยะเวลาของกิจกรรมอาบป่าจะอยู่ราว 2 ชั่วโมง จากนั้นป้าแอ๊ดจะมีแบบประเมินง่าย ๆ ให้แสดงความคิดและความรู้สึกออกมา

ภาพ : ทิพวัน ถือคำ

 

ป้าแอ๊ดย้ำว่าการอาบป่าหนึ่งครั้งมีผลการวิจัยรองรับว่าช่วยส่งผลดีต่อร่างกายและจิตใจอย่างต่อเนื่องประมาณ 1 เดือน และหลังจากนั้น ผู้ที่ผ่านการอาบป่ามาแล้วสามารถนำ ‘เครื่องมือ’ ที่ป้าแอ๊ดมอบให้ไปใช้อาบป่าได้ด้วยตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องกลับมาที่บ้านกลางป่าอีกก็ได้

 

ไม่ว่าคุณจะไปท่องเที่ยวตามป่าใหญ่ ป่าเล็ก สวนสาธารณะ หรือแค่นำต้นไม้เข้ามาในบ้าน ก็สามารถใช้ผัสสะทั้งห้าในการอาบป่า ชาร์จพลังให้ร่างกายและจิตใจได้ทุกที่ทุกเวลา

ภาพ : ทิพวัน ถือคำ

 

สำหรับใครที่ไม่สะดวกค้างคืนที่บ้านกลางป่า ก็สามารถไปเรียนรู้พูดคุยกับป้าแอ๊ดได้ทุกเมื่อ หากแวะไปที่บ้านกลางป่าแล้วเจอป้าแอ๊ด รับรองว่าคุณจะได้รับความรู้เกี่ยวกับศาสตร์การอาบป่า และได้โอบกอดไม้ใหญ่ หอมกลิ่นเปลือกไม้ และได้อาบ ‘ไฟทอนไซด์’ สารสร้างความสดชื่นจากต้นไม้ให้ชื่นใจ

 

บ้านกลางป่า Into the Forest

ที่ตั้ง : 185 หมู่ 6 บ้านห้วยตลุงซอย 5 ต.หนองขาว อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/2YSsNL6xvVJpXhAS6

โทร : 089 919 9093

Facebook : บ้านกลางป่า Into The Forest

 

เมนูห้ามพลาด : ข้าวเกรียบปากหม้อเจ๊หยี บ้านท่าเรือ อำเภอท่ามะกา

 

ปิดท้ายด้วยพิกัดอาหารอร่อยที่ไม่อยากให้พลาดหากมีโอกาสไปเยือนกาญจนบุรี นั่นคือ ข้าวเกรียบปากหม้อ อาหารทานเล่นยอดนิยมแห่งบ้านท่าเรือในอำเภอท่ามะกา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากอำเภอท่าม่วงและอำเภอเมืองกาญจนบุรี

 

เอกลักษณ์ของข้าวเกรียบปากหม้อแห่งบ้านท่าเรือ คือ สไตล์การปรุงเสิร์ฟแบบโอมากาเสะ ซึ่งเป็นวิถีการกินข้าวเกรียบปากหม้อของชาวท่าเรือที่จะนั่งตรงหน้าแม่ค้าที่ประจำการอยู่หน้าเตา จากนั้นแม่ค้าจะวางใบตองให้คนละ 1 ใบ ลูกค้าจัดการทาน้ำมันบนใบตองให้พร้อม

 

จากนั้นแม่ค้าจะเริ่มทำการเสิร์ฟข้าวเกรียบปากหม้อทีละรอบ รอบละ 5-6 ชิ้น เท่ากับจำนวนไส้ของข้าวเกรียบปากหม้อที่แต่ละร้านมี ซึ่งส่วนมากมักจะมีไส้กุยช่าย หน่อไม้ ไชโป๊ ผักกาดดอง และเต้าหู้ จากนั้นลูกค้าสามารถระบุได้ว่าจะเอาไส้อะไรหรือไม่เอาไส้อะไร แม่ค้าจะทำข้าวเกรียบปากหม้อให้สด ๆ เติมให้กินทีละรอบ จนกว่าจะอิ่ม โดยจะคิดเงินเป็นรอบ รอบละ 10 บาท

 

ข้าวเกรียบปากหม้อเจ้าดังในบ้านท่าเรือมีมากมาย หลายเจ้าต้องรอคิวนาน ใครไม่อยากรอคิว แนะนำให้ไปที่ร้านข้าวเกรียบปากหม้อเจ๊หยี ในซอยแสงชูโต 6 เข้าซอยไปแล้วเลี้ยวซ้ายแยกแรก จะเจอกับโต๊ะ 1 โต๊ะตั้งอยู่หน้าห้องแถวข้าง ๆ เตาข้าวเกรียบปากหม้อ สามารถนั่งประจำการ ปูใบตอง แล้วรอรับประทานข้าวเกรียบปากหม้อร้อน ๆ เสิร์ฟโดยเจ๊หยีกี่รอบก็ได้ตามชอบใจ

 

ข้าวเกรียบปากหม้อเจ๊หยีมีทั้งหมด 6 ไส้ ได้แก่ กุยช่าย หน่อไม้ ไชโป๊ ผักกาดดอง เต้าหู้ และถั่วงอก กับอีกหนึ่งเมนูที่คนแถวนั้นนิยมสั่งกันมาก คือ แป้งเปล่า ซึ่งทำจากแป้งข้าวเจ้าผสมแป้งมัน ด้วยความเหนียวนุ่มหอมมันที่ลงตัว กินกับน้ำจิ้ม กระเทียมเจียว และผักชี แค่นี้ก็อร่อยแล้ว

 

ข้าวเกรียบปากหม้อเจ๊หยี

ที่ตั้ง : ซอยแสงชูโต 6 (หรือถนนรถไฟซอย 1) ต.ท่าเรือ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี

โทร : 061 445 1869

เปิดบริการทุกวัน : เวลา 10.00 - 15.00 น. หรือจนกว่าของจะหมด

 

SHARE

facebook
twitter
copy
Related articles / บทความที่เกี่ยวข้อง
Loading...