![](/_next/image?url=https%3A%2F%2Fstrapi.livetolife.thailife.internal%3A1337%2Fupload%2Fimages%2F7946b2da733890ddc0c7.jpg&w=3840&q=75)
![](/_next/image?url=https%3A%2F%2Fstrapi.livetolife.thailife.internal%3A1337%2Fupload%2Fimages%2Ff58549207da76b0bfcab.jpg&w=3840&q=75)
สีไหนใช่ที่สุด ? The Image Signature ชวนไปเช็กโทนสีที่เสริมบุคลิกภาพและเป็นสีมงคลเฉพาะคุณ
Lifestyle / Trends
01 Mar 2024 - 7 mins read
Lifestyle / Trends
SHARE
01 Mar 2024 - 7 mins read
มีใครสงสัยเหมือนกันไหมว่าฟิลเตอร์วงล้อสีที่ฮิตใน TikTok และ Instagram เขามีวิธีดูอย่างไร เราสามารถตามหาโทนสีประจำตัวด้วยตัวเองได้จริงหรือไม่
“หลาย ๆ คนชอบ Capture หน้าจอส่งมาถามเหมือนกันว่า โทนสีประจำตัวของเขาคือสีอะไร ซึ่งวีตอบไม่ได้ เพราะดูไม่รู้เรื่องเหมือนกัน” แสงระวี มิตรประเสริฐพร หรือ โค้ชวี Personal Color Specialist ผู้ก่อตั้งสถาบัน The Image Signature ตอบพร้อมรอยยิ้ม
โค้ชวี - แสงระวี มิตรประเสริฐพร
“เพราะฟิลเตอร์ก็คือฟิลเตอร์ ไม่ใช่หน้าจริงอยู่ดี ยิ่งถ้าเขาถ่ายภาพในห้องนอนใต้ไฟส้มก็ดูไม่ออกอีก เราจึงอยากให้เขามาเทสต์ในห้องนี้ที่รับแสงธรรมชาติเพื่อให้สามารถวิเคราะห์ผิวได้ชัดที่สุด ทั้งยังมีเสื้อผ้าเฉดสีต่าง ๆ ให้ลองหยิบมาทาบ มีเครื่องสำอางเฉดสีต่าง ๆ ให้ทดลองใช้ รวมถึงสีเล็บ วิกผม ผ้าพันคอ ฯลฯ เพื่อตามหาโทนสีที่เหมาะกับตัวเองที่สุดจริง ๆ”
นั่นเป็นเหตุผลที่ LIVE TO LIFE มาเยือนห้องเวิร์กชอปของ The Image Signature ย่านเพชรเกษม เพื่อเรียนรู้จากกูรูด้าน Personal Color ถึงเคล็ดลับการตามหาโทนสีที่ช่วยเสริมบุคลิกภาพ และเป็นสีมงคลเฉพาะบุคคล รวมถึงความสำคัญของสีสันที่ส่งผลต่อชีวิตของผู้คน
ศาสตร์แห่งสีที่ไม่ใช่แค่เทรนด์
“คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดคิดว่า Personal Color เป็นเทรนด์ที่มาจากเกาหลี แต่จริง ๆ แล้วศาสตร์นี้เริ่มต้นที่ยุโรปมานานกว่า 80 ปีแล้ว” โค้ชวีเริ่มต้นเล่าถึงจุดกำเนิดที่แท้จริงของศาสตร์แห่งสีสันเฉพาะบุคคล
“Personal Color เริ่มขึ้นต้นราวทศวรรษที่ 1950 โดยศิลปินหญิงชื่อ ซูซานน์ เคย์กิลล์ (Suzanne Caygill) ที่สังเกตเห็นความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันระหว่างสีผิว สีผม และสีของดวงตา ซึ่งการวิเคราะห์โทนสีประจำตัวของซูซานน์ไม่ได้ใช้วิธีทาบผ้าอย่างทุกวันนี้ แต่ใช้วิธีผสมสีน้ำ แล้วปาดสีที่ใช่ให้กับลูกค้าแต่ละราย จนเมื่อทำไปได้ระยะหนึ่งก็เริ่มจับกลุ่มแยกเป็นแพทเทิร์นได้ โดยซูซานน์แบ่ง Personal Color ตามบุคลิกและสีผิวออกเป็น 4 กลุ่มตามฤดูกาล ได้แก่ Spring, Summer, Autumn และ Winter”
“เวลาผ่านไปจนถึงทศวรรษที่ 1980 ซูซานน์เริ่มอยากถ่ายทอดวิชาความรู้ด้านนี้ แต่ส่งต่อให้แก่นักเรียนแค่ 30 คนในโลกเท่านั้น โดย คาร์ลา มาร์ทีส (Carla Mathis) ซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยของซูซานน์และเป็นหนึ่งในผู้สืบทอดศาสตร์นี้ ได้พัฒนาพาเลตต์เป็น 16 Seasons ภายหลังคาร์ลาได้เป็นผู้ร่วมก่อตั้งสถาบัน The Style Core ในลอสแอนเจลิส แคลิฟอร์เนีย”
“ต่อมาลูกศิษย์คาร์ลาคือ คริสตินา ออง (Christina Ong) ชาวสิงคโปร์ รู้สึกว่าพาเลตต์เดิมยังไม่สมบูรณ์และใช้งานยาก เลยปรับศาสตร์ใหม่เป็นศาสตร์โมเดิร์น และแบ่งพาเลตต์เป็น 12 Seasons เพื่อให้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้นและเหมาะกับผิวคนเอเชีย ภายหลังคริสตินาเป็นผู้ก่อตั้ง Academy of Image Mastery (AIM) ซึ่งทั้งคาร์ลาและคริสตินาต่างก็เป็นครูของวี เช่นเดียวกับลูกศิษย์ของเขาอีกคนที่เก่งเหมือนกัน ชื่อ โจเซฟีน อยู่มาเลเซีย วีก็ไปเรียนกับเขามา ทุกคนที่ว่าดี วีไปหมด เพื่อเรียนรู้ให้ได้เยอะที่สุด”
“จะสังเกตได้ว่าช่วงหลังโควิด เทรนด์ Personal Color มาแรงมาก ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งหากจะวิเคราะห์จากประวัติศาสตร์มักพบว่าทุกครั้งเมื่อสิ้นสุดสงคราม แฟชั่นจะกลับมารุ่งเรือง เพราะผู้คนผ่านช่วงเก็บกดเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ได้ออกไปใช้ชีวิตมานาน เมื่อถึงเวลาก็อยากปลดปล่อยความเป็นตัวเองออกไปให้สุดว่าฉันคือใคร และแน่นอนว่าทุกคนอยากออกจากบ้านแล้วถูกเพื่อนทักว่า เธอไปทำอะไรมา ทำไมถึงดูดีขึ้น ซึ่ง Personal Color เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ดูดีขึ้นได้ คนเลยมาเรียนกับวีเยอะขึ้น”
“เทรนด์บางอย่างมาแล้วก็ไป แต่ Personal Color เป็นการทำงานกับหลักความเป็นจริง นั่นแปลว่า ถ้าคุณใส่สีนี้สวย ต่อให้สิบปีข้างหน้า คุณก็ยังใส่สีนี้สวยอยู่ ดังนั้น Personal Color ไม่มีทางหายไปไหน เพราะเรายังต้องอยู่กับความเป็นจริงตลอดไป”
เมื่อสีที่ใช่ช่วยเปลี่ยนชีวิตให้ผู้คน
“จังหวะที่วีหลงรักอาชีพนี้เลยจริง ๆ คือตอนคนที่เคยมาเรียนกับเรากลับมาขอบคุณที่ทำให้เขารู้สึกมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เขาได้งานเพราะปรับภาพลักษณ์ตัวเอง เขามีความสุขมากขึ้น เพราะในที่สุดก็ได้รู้ว่าตัวเองก็สวยได้เหมือนกัน แม้แต่คู่ที่กำลังจะแต่งงานยังมาหาวี เพื่อปรึกษาว่าสีขาวของชุดเจ้าสาวควรเป็นสีขาวเฉดไหน เมกอัพในวันสำคัญที่สุดในชีวิตควรเป็นเมกอัพเฉดใดที่จะทำให้เขาสวยแน่นอน แม้แต่เจ้าบ่าวเองก็อยากจะรู้ว่าเขาควรใส่ทักซิโดขาวดำดีไหม หรือจะเป็นสูทสีน้ำตาล หรือสีน้ำเงินดีกว่ากัน ซึ่งเราเองก็อยากทำให้เขาสวยและหล่อที่สุดในวันสำคัญ เพราะวีเชื่อว่าทุกคนเป็นคนสวยคนหล่อ แค่หาสิ่งที่เหมาะกับตัวเองเจอหรือยังเท่านั้นเอง”
“สิ่งที่มากกว่าสีสัน คือการค้นพบตัวตนที่แท้จริง อย่างบางคนเป็นตัวของตัวเองมาโดยตลอด จนวันหนึ่งแต่งงานมีครอบครัว ผ่านไปสิบปี ฉันลืมไปแล้วว่าตัวฉันเป็นยังไง เพราะทุ่มเทให้กับครอบครัวจนหลงลืมความสุขของตัวเองไป ก็ต้องกลับมาทบทวนกันใหม่ เพราะผลของการทำ Personality Test จะทำให้เราจับได้ว่าจริง ๆ แล้วตัวตนเขาเป็นแบบนี้ แต่สิ่งที่เขาพรีเซนต์ออกมากลับไม่ใช่ภาพนี้ แสดงว่าต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังจึงเกิดการพูดคุยเพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุด”
กรรมวิธีค้นหาเฉดสีเฉพาะบุคคล
“วีจะเริ่มต้นเวิร์กชอปด้วยการปูทฤษฎี Psychology of Color หนึ่งชั่วโมงเต็ม เพื่อบอกเล่าถึงความสัมพันธ์ของสีที่มีผลต่อจิตใจและอารมณ์ ซึ่งมีผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันมาก เช่น วันนี้ฉันรู้สึกขาดความมั่นใจ แต่ไม่อยากให้ใครจับได้ ควรใส่เสื้อผ้าสีอะไรดี หรือวันนี้จะต้องไปเจอผู้ใหญ่ อยากให้เขารู้สึกเอ็นดู ควรใส่สีอะไรดี และถ้าวันนี้มีมีตติ้งสำคัญ อยากให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจในตัวเรา ควรใส่สีประมาณไหนถึงจะดึงอารมณ์ความรู้สึกนั้นออกมาได้ รายละเอียดเหล่านี้คือ Mood and Tone ที่เราสามารถเซ็ตได้เองในแต่ละวัน”
“ต่อด้วยเรื่องของ การจับคู่สี ว่าแต่ละสีจับคู่กับอะไรได้บ้าง ซึ่งจะทำให้การแต่งตัวสนุกขึ้น หลายคนมีเสื้อผ้าเต็มตู้ แต่ไม่สามารถจับมาแมทช์กันได้ เลยกลายเป็นว่าไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ โดยเฉพาะถ้ามีสีมงคลเข้ามาเกี่ยวด้วย เช่น ตารางสีมงคลบอกว่าวันนี้ต้องใส่สีฟ้า ฉันมีเสื้อสีฟ้า ปัญหาคือ ต้องใส่กางเกงสีอะไรถึงจะเข้ากัน สุดท้ายแมทช์ไม่ได้ก็อดใส่สีมงคล บางคนบอกว่าสีมงคลของตัวเองต้องเป็นสีแดงเท่านั้น เราก็สามารถไกด์ให้เขาได้ว่าแดงเฉดไหนที่เหมาะกับเขาจริง ๆ ดังนั้น การจะมูด้วย และสวยด้วย เป็นไปได้แน่นอน แค่เลือกเฉดที่เหมาะสม”
“กระบวนการจับคู่สีว่าสามารถแมทช์อย่างไรได้บ้างจะใช้การทาบผ้า เช่น ผ้าที่เป็นสีของเครื่องประดับ เพื่อดูว่าเครื่องประดับที่เขาใส่ได้คือเฉดไหน อย่างโทนสีเหลืองก็จะมีทองกับทองแดง โทนไหนใส่แล้วสวยกว่า หรือบางคนสามารถใส่ได้ทั้งสองโทนก็มี หลังจากนั้นก็เป็นการทาบผ้าเพื่อวิเคราะห์สีของเสื้อผ้าที่ควรใส่ ซึ่งความสดของสีก็มีส่วนเหมือนกัน บางคนใส่สีตุ่นแล้วสวยมาก แต่บางคนต้องใส่สีสดถึงจะเหมาะกว่า ต้องดูเนื้อผิวแต่ละคนว่าเป็นแบบไหน ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการเลือกใช้ลิปสติกได้ด้วยว่าควรใช้ลิปสติกสีกลอสหรือแมทท์ถึงจะสวยเหมาะกับตัวเองที่สุด”
“หลักในการวิเคราะห์ผิวของแต่บุคคล วีจะพิจารณา 3 อย่างประกอบกัน อย่างแรก คือ Personality เพื่อดูว่าคาแร็กเตอร์ของคน ๆ นี้เป็นแบบไหน โดยวีจะเริ่มสังเกตตั้งแต่ท่าทางการเดิน น้ำเสียง จังหวะการพูด แล้วเอามาประกอบกับผลของ Personality Test ที่เราให้เขาทำ และในเวิร์กชอปเราจะให้เขาเริ่มต้นด้วยการระบายสี การลงสีเข้มหรืออ่อน ลากเส้นไปทางไหนก่อน วิธีการหมุนเส้น ฯลฯ จะสื่อสารตัวตนของเขาออกมา”
“อย่างที่สอง คือ เป้าหมายของแต่ละคน เช่น คนนี้เป็นคนซอฟท์มากเลย แต่กำลังจะได้รับการโปรโมทจึงต้องการสร้างภาพลักษณ์ให้ดูสตรองขึ้น แปลว่าต้องขัดกับ Personality ของตัวเองแล้ว ดังนั้น เราจะทำอย่างไรให้เขาไปถึงเป้าหมายให้ได้”
“อย่างสุดท้าย คือ Skin Tone หรือเฉดสีผิวของแต่ละคน ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่วีให้น้ำหนักมากที่สุด โดยตามทฤษฎีจะแบ่งเนื้อผิวหลัก ๆ เป็น Cool Tone กับ Warm Tone สังเกตง่าย ๆ ว่า Cool Tone จะออกสีฟ้า และ Warm Tone จะออกไปทางเหลือง ส่วนถ้าเจาะลึกลงไปอีก จะแบ่งเป็น 4 Season โดย Cool Tone แบ่งเป็น Winter และ Summer ส่วน Warm Tone แบ่งเป็น Spring กับ Autumn พอเราวิเคราะห์ได้แล้วว่าผิวเป็นโทนวอร์มหรือคูล ค่อยดูต่อว่าจัดอยู่ใน Season อะไร”
“เรายังสามารถแบ่งสีผิวให้ละเอียดยิ่งไปกว่านั้น โดยแต่ละ Season จะแยกย่อยออกเป็น 3 Sub Season เช่น Spring มี Light, Bright และ Warm หรือ Autumn มี Warm, Soft และ Deep เป็นต้น หลังจากที่วีช่วยทาบผ้าเพื่อวิเคราะห์สีที่เหมาะกับเขาได้แล้ว เช่น คนนี้เหมาะกับพาเลตต์ Soft Autumn ก็จะอธิบายให้เขาเข้าใจไปทีละแถวว่าสีสันที่แมทช์มาให้แล้วนั้นนำไปใช้กับอะไรได้บ้าง”
“เช่น สองแถวบนสุดเป็น Neutral ใช้กับ Everyday Look ใส่ได้บ่อยโดยไม่ต้องกังวลว่าคนจะจำได้ว่าใส่ไปแล้ว เหมาะกับสีสูท เบลเซอร์ คาร์ดิแกน ผ้าพันคอ โอเวอร์โค้ท รองเท้า กระเป๋าที่ใช้ทุกวัน และสามารถแมทช์สีเสื้อกับกางเกงได้ตามคู่สีที่อยู่ตรงกัน ซึ่งแมทช์ได้ง่าย พอดี และไม่ต้องคิดเยอะ โดยวีจะแถม Personal Color Palette ซึ่งเป็นชาร์จสีเฉพาะตัวของแต่ละคนให้ด้วย สามารถพกไปช้อปปิ้งได้ แค่หยิบมาทาบกับสีเสื้อผ้าที่จะซื้อ”
Personal Color Palette (บน) และ Make Up Card (ล่าง)
“ลูกค้าสามารถเลือกซื้อ Make Up Card เพิ่มได้ เป็นพาเลตต์สีเครื่องสำอางที่เหมาะกับแต่ละคน ขนาดเล็ก ๆ เท่าบัตรเครดิต สามารถพกติดตัวได้ เวลาสวอทช์สีก็แค่หยิบการ์ดใบนี้มาทาบว่าสีตรงกันไหม ถ้าเจอสีที่ใช่ถึงค่อยซื้อ”
“หลายคนอาจคิดว่า Personal Color เป็นแค่การทาบผ้าหรือเปล่า ความจริงมีรายละเอียดที่ลึกไปมากกว่านั้น เพราะไม่ว่าจะสีผมหรือสีของดวงตาล้วนมีผลทั้งหมด แม้คนไทยจะมีตาสีดำ แต่ก็ดำไม่เท่ากัน มีทั้งดำน้ำตาล ดำฟ้า ดำม่วง ฯลฯ หรือสีผมก็มีทั้งดำประกายน้ำเงิน ประกายทอง ประกายแดง บางคนคิดว่าตัวเองผมดำ แต่ที่จริงแล้วผมสีเทาต่างหาก ดังนั้น วีจะต้องวิเคราะห์ Element ต่าง ๆ ว่าแต่ละคนมีองค์ประกอบแบบไหน และต้องเสริมอะไรได้บ้าง”
“วีเชื่อว่าธรรมชาติของตัวเราคือสิ่งที่ดีที่สุดอยู่แล้ว เราแค่หาสิ่งที่จะมาแมทช์กับธรรมชาติของตัวเรา เท่านั้นเอง”
ทำความรู้จักศาสตร์แห่งโทนสีเฉพาะบุคคลเพิ่มเติมได้ทาง
Facebook : The Image Signature Academy by Coach Wee