คิดสิ่งใด ได้สิ่งนั้น รู้จักพลังแห่ง Manifest เมื่อความคิดเปลี่ยนชีวิตให้ดีได้ดั่งใจฝัน

07 Oct 2024 - 7 mins read

Health / Mind

Share

จริงไหม ? ที่อยากได้อะไรให้กระซิบบอก ‘จักรวาล’ แล้วเราจะได้ทุกสิ่งที่เราปรารถนา 

 

ประโยคนี้อาจฟังดูเกินจริงเพราะเราแทบไม่เห็นความเชื่อมโยงเลยว่าจักรวาลจะมอบในสิ่งที่เราต้องการให้ได้อย่างไร และด้วยวิธีแบบไหน  

  

เราทุกคนต่างอยากประสบความสำเร็จในชีวิตและได้ทุกสิ่งที่ต้องการ แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป โลกนี้มีอุปสรรคและบททดสอบมากมาย จึงยิ่งทำให้เชื่อได้ยากว่าแค่กระซิบบอกจักรวาลจะทำให้เราได้ในสิ่งที่ปรารถนา  

 

แต่เชื่อไหมว่าเราทุกคนเปลี่ยน ‘ชะตาชีวิต’ ได้ บางคนมองว่าชีวิตที่ดีเป็นเรื่องของดวง บางคนเชื่อว่าเป็นผลบุญที่สั่งสมมาแต่ชาติปางก่อน บางคนเชื่อมั่นในความพยายามของตนเอง และบางคนก็เชื่อว่า ‘ชีวิตที่ดีคือสิ่งที่จักรวาลมอบให้’ ซึ่งแท้ที่จริงแล้วจักรวาลอันยิ่งใหญ่นั้นไม่ได้อยู่ที่ไหนไกล แต่อยู่ในตัวเรานั่นเอง

 

Manifest หรือ จิตดลบันดาล คือการสร้างชีวิตในแบบที่เราปรารถนา โดยใช้พลังแห่งจิตดึงดูดทุกสิ่งที่เราต้องการเข้ามาในชีวิต ทำให้ทุกสิ่งที่เราใฝ่ฝันเป็นจริง วิธีการของจิตดลบันดาลคือการบอกกับ ‘จักรวาล’ ในสิ่งที่เราต้องการ บอกอย่างนั้นซ้ำ ๆ จนท้ายที่สุดจักรวาลก็จะนำพาสิ่งที่เราปรารถนามาให้ และแน่นอนว่าจักรวาลที่กล่าวถึงนั้น หมายถึงขุมพลังที่อยู่ในจิตใจของเรา 

 

แนวคิดของการ Manifest มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 คนแรกที่เริ่มบุกเบิกคือ เพรนทิส มัลฟอร์ด (Prentice Mulford)  คนสำคัญที่ปลุกขบวนการ New Thought ที่เชื่อว่าตัวตนของมนุษย์คือสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เขาเขียนลงในหนังสือ กฎแห่งความสำเร็จ (The Law of Success) ว่ามนุษย์มีพลังในการเปลี่ยนชีวิตตัวเอง โดยใช้ ‘ความคิด’ หรือ ‘จิต’ ของเราเอง และความมหัศจรรย์นี้สามารถอธิบายได้ด้วย ‘กฎแห่งแรงดึงดูด’ (Law of Attraction)  

 

“คิดอะไรได้อย่างนั้น” 

 

กฎแห่งแรงดึงดูดอธิบายว่าความคิดของมนุษย์มีพลังสามารถดึงดูดสิ่งต่าง ๆ เข้ามาในชีวิตได้ หากคิดแต่สิ่งที่ดี ก็จะดึงดูดแต่สิ่งดี ๆ เข้ามา ตรงกันข้าม หากมีความคิดในแง่ลบ ชีวิตก็จะดึงดูดมาแต่สิ่งแย่ ๆ  

 

กระบวนการ Manifest ที่ชวนให้เรากระซิบบอกจักรวาลนั้น ไม่ใช่การรอคอยโชคชะตาแต่อย่างใด แต่หมายความว่าหากเราเชื่อมั่นอย่างสุดหัวใจว่าเราคู่ควรกับสิ่งที่เราปรารถนา พลังแห่งความคิดในจิตใจอันแรงกล้าจะค่อย ๆ เปลี่ยนตัวเราเป็นคนใหม่ที่คู่ควรกับเป้าหมายนั้น และดึงดูดทุกอย่างที่จะสนับสนุนให้เราได้ในสิ่งที่ต้องการ   

 

ส่วนสำคัญที่สุดของ Manifest เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนแรก ซึ่งฝึกให้เราเชื่อมั่นในสิ่งที่ปรารถนาและพลังของจักรวาลอย่างไร้ข้อกังขา ร็อกซี นาฟูซี (Roxie Nafousi) ผู้ได้ชื่อว่าเป็นควีนแห่งการ Manifest เขียนไว้ในหนังสือ Manifest 7 ขั้นตอนสู่ทุกสิ่งที่ปรารถนา ระบุว่าการจินตนาการถึงสิ่งที่ปรารถนาให้ชัดเจน โดยจะต้องจินตนาการอย่างละเอียด ในแบบที่สามารถบอกความรู้สึกของเราตอนได้สิ่งนั้นมาแล้วยิ่งดี และทำแบบนั้นซ้ำ ๆ จนเชื่อมั่นได้จากก้นบึ้งของหัวใจ

 

การคิดในลักษณะนี้คล้ายกับการภาวนาหรือสวดมนต์ ซึ่งสร้างความเปลี่ยนแปลงในระดับระบบประสาท เรียกว่า Neuroplasticity หรือ การที่สมองของเรามีความยืดหยุ่นและพัฒนาได้ การเคลื่อนไหวร่างกาย ออกกำลังกาย เขียนหนังสือ เล่นไวโอลิน กิจกรรมเหล่านี้ล้วนทำให้สมองได้ฝึกเรียนรู้ทักษะใหม่และทำให้เส้นประสาทใหม่ ๆ ถูกสร้างขึ้น การฝึกจินตนาการแม้อยู่แค่ในความคิดก็ทำให้เกิดการเรียนรู้ได้เช่นกัน  

 

งานวิจัยจาก Basic and Applied Psychology ในปี 2017 เผยว่านักเทนนิสที่ฝึกเทคนิคจินตนาการภาพว่าตัวเองชนะการแข่งขันได้สำเร็จนั้น สามารถทำแต้มได้มากขึ้นเมื่อลงแข่งจริง และเล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพกว่ากลุ่มที่ไม่ได้ใช้เทคนิคนี้  

 

เช่นเดียวกัน หากเราปรารถนาจะมีเงิน 10 ล้าน ในอีก 1 ปี แน่นอนว่าคงไม่มีเงินสดจากจักรวาลโอนเข้ามาในบัญชีทันทีที่เราขอ แต่การปรารถนาซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ ในเป้าหมายเดิมจะช่วยสร้างความคิดชุดใหม่ ซึ่งจะเปลี่ยนตัวเราให้ลงมือทำเพื่อเป้าหมายนั้นโดยอัตโนมัติ  

 

อีกหนึ่งทฤษฎีทางจิตวิทยาที่สอดคล้องกับการ Manifest  คือ จิตวิทยาเกสตัลท์ (Gestalt) ซึ่งอธิบายว่าสมองของคนเรารับข้อมูลเป็นภาพรวม เช่น เวลาเราฟังเพลง เราจะรับรู้เพลงทั้งเพลง ไม่ได้ฟังแค่เสียงร้องหรือเสียงดนตรีแยกกัน หรือเงี่ยหูฟังเสียงคอรัสเบา ๆ อย่างเดียว สมองของเราจะจัดลำดับความสำคัญ จดจำแค่ภาพรวมหรือประเด็นของสิ่งนั้น โดยละเว้นรายละเอียดยิบย่อยเอาไว้  

 

สิ่งที่คนเรามักจัดลำดับความสำคัญไว้อันดับต้น ๆ คือ 

  • สิ่งที่เราต้องการ
  • สิ่งที่เรากลัว
  • ความต้องการทางชีวภาพ เช่น ความหิว 

 

กฎแห่งแรงดึงดูดและการ Manifest ฝึกให้เราคิดถึงแต่สิ่งที่เราต้องการแบบย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ สมองของเราก็จะจัดลำดับความสำคัญไว้แรก ๆ และเลือกรับรู้แต่สิ่งที่เกี่ยวข้อง เช่น Manifest ว่าอยากเก่งภาษาอังกฤษ ความต้องการสิ่งนี้ก็จะขึ้นมาอยู่ลำดับแรกของการรับรู้ เราอาจสังเกตเห็นคลิปฝึกท่องศัพท์ใน YouTube สังเกตมุมหนังสือภาษาอังกฤษ ทั้ง ๆ ที่แต่ก่อนนี้เราอาจมองข้ามหรือไม่ได้สนใจเลย แม้กระบวนการของกฎแรงดึงดูดไม่ได้รับการพิสูจน์ว่าการคิดแบบนี้จะทำให้เราได้ในสิ่งที่ต้องการ แต่หลักจิตวิทยาเกสตัลท์อธิบายแล้วว่าการคิดแบบ Manifest นั้น ช่วยสร้างโอกาสได้เราไปถึงฝั่งฝันได้  

 

Manifest ทำอย่างไร ?  

 

จากแนวคิดข้างต้น เชื่อว่าเราแต่ละคนสามารถออกแบบวิธีคิดเพื่อไปสู่สิ่งที่ปรารถนาได้ อย่างไรก็ตาม LIVE TO LIFE ขอชวนทุกคนไปดู 7 ขั้นตอนการใช้จิตดลบันดาลจาก หนังสือ Manifest 7 ขั้นตอนสู่ทุกสิ่งที่ปรารถนา ที่ร่วมสมัยที่สุดในยุคนี้  

 

1. จินตนาการภาพ ‘สิ่งที่ปรารถนา’ ให้ชัดเจน 

ขั้นตอนนี้เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของ Manifest เคล็ดลับที่แนะนำคือการสร้าง วิชั่นบอร์ด (Vision Board) ของตัวเองโดยการกำหนดระยะเวลาที่ต้องการให้สิ่งนั้นเป็นจริง เช่น 3 เดือน  6 เดือน หรือ 1 ปี ตามต้องการ จากนั้นเขียนความปรารถนาลงไปในกระดาษอย่างละเอียด พร้อมจินตนาการถึงความรู้สึกหลังประสบความสำเร็จและเขียนลงกระดาษตามไปด้วย หากไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน ลองตอบคำถามตามหัวข้อ ดังนี้  

  • ฉันรู้สึกอย่างไรภายในตัวเอง
  • ความสัมพันธ์รอบตัวฉันเป็นอย่างไร 
  • ฉันอาศัยอยู่ในบ้านแบบไหน
  • ฉันทำอาชีพอะไร
  • ฉันภูมิใจกับอะไรที่สุด
  • ฉันอยากเปลี่ยนแปลงอะไรในชีวิต 
  • ฉันอยากเก็บอะไรไว้เหมือนเดิม  

 

การจินตนาการอย่างสมจริงนี้จะช่วยให้สมองของเราจดจำความปรารถนาและจัดลำดับมันไว้ต้น ๆ ที่สำคัญคือต้องทำซ้ำ ๆ ทุกวันจนกว่าจะเชื่อมั่นได้จริง 

 

2. ขจัด ‘ความกลัว’ และข้อกังขาในตัวเองให้สิ้นซาก 

เราต้องเชื่อมั่นว่าตัวเองคู่ควรกับสิ่งที่เราปรารถนา จักรวาลจึงจะมอบสิ่งนั้นให้กับเรา จึงต้องก้าวผ่านความกลัวและความไม่มั่นใจในตัวเองให้ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อาจเริ่มจากสำรวจว่าความกลัวของเราคืออะไร ลิสต์มาเป็นข้อ ๆ เพื่อให้ได้เผชิญหน้ากับสิ่งนั้น เช่น เราอยากชนะในรายการประกวดร้องเพลง แต่กลัวว่าเสียงจะดีไม่พอ กลัวถูกคนดูวิจารณ์ กลัวทำผิดพลาดบนเวที กลัวว่าตัวเองไม่มีเสน่ห์ดึงดูดผู้ฟังมากพอ เป็นต้น เมื่อได้เผชิญหน้ากับความกลัวเหล่านี้แล้ว เราจะได้รู้ว่าต้องเอาชนะมันอย่างไร  

 

เราอาจพบว่าพอลิสต์ออกมาแล้วความกลัวของเราอาจน้อยกว่าที่คิด แต่บางครั้งความกลัวนั้นก็ยิ่งใหญ่และฝังรากลึกจนเกินจะเอาชนะไหว การปรึกษาจิตแพทย์และนักจิตวิทยาเป็นอีกทางที่ช่วยให้ขจัดความกลัวนั้นไปได้ 

 

3. เปลี่ยนพฤติกรรมและลงมือทำเพื่อ ‘สิ่งที่ปรารถนา’ 

เริ่มต้นลงมือทำเพื่อเป้าหมายทันทีให้จักรวาลเห็นความพยายามของเรา เริ่มโดยการเปลี่ยนนิสัยในชีวิตประจำวันให้สอดคล้องกับเป้าหมายนั้น ๆ  แม้จะยังมีข้อกังขาในตัวเองหรือมีความกลัวอยู่ก็ตาม ถึงอย่างนั้นการต้องแกล้งทำทั้ง ๆ ที่ไม่ได้รู้สึกอยากทำจริง ๆ ก็ยังนำผลลัพธ์ที่ดีมายังตัวเราได้ หรือลองใช้เทคนิคลงมือทำภายใน 5 วินาที หรือ 5-Second Rule บังคับให้เราลงมือทำทันที โดยไม่รีรอ  

 

การปรับเปลี่ยนนิสัยอาจขึ้นอยู่ที่วิธีของแต่ละคน แต่ที่แน่ ๆ ขั้นตอนนี้คือการดำเนินไปสู่เป้าหมาย และจักรวาลจะมองเห็นความตั้งใจของเราอย่างแน่นอน  

 

4. เอาชนะอุปสรรคที่เข้ามาให้ได้ 

จิตดลบันดาล ดึงดูดแต่สิ่งดี ๆ ก็จริง แต่ไม่ได้หมายความว่าเส้นทางนี้จะปราศจากอุปสรรค บางครั้งสิ่งที่เกินควบคุมก็เกิดขึ้น แม้อยากจะซื้อบ้านให้ได้ก่อนอายุ 30 แต่ธนาคารอาจไม่ยอมให้กู้ แม้อยากเก็บเงินให้ได้ 1 ล้าน ใน 1 ปี ก็อาจเจออุบัติเหตุที่ทำให้ต้องสูญเสียเงินใหญ่ไปก็ได้ โลกนี้ยังมีอุปสรรคที่ขัดขวางเราอยู่มากมาย  

 

ดังนั้นให้เปลี่ยนวิธีคิด มองว่านี่คือบททดสอบหนึ่งของจักรวาลที่ต้องข้ามผ่านไปให้ได้ แต่หากจำเป็นต้องยอมรับความจริงที่ไม่เป็นอย่างใจ ก็ให้รักษาความเชื่อมั่นเอาไว้ อย่าเพิ่งหมดศรัทธา บางครั้งจักรวาลอาจส่งสิ่งที่เราคู่ควรและดีกว่าเดิมมาให้ก็ได้  

 

5. ยอมรับและ ‘ขอบคุณ’ ทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิต 

แม้อยากให้วันนี้เป็นวันที่ดีแค่ไหน แต่บางครั้งเราก็เจอเรื่องแย่ ๆ และทำให้เกิดความคิดแย่ ๆ ตามมา หากเราโฟกัสแต่ความย่ำแย่ของวันนั้น ชีวิตก็จะดึงดูดแต่สิ่งลบ ๆ เข้ามา วิธีการคือหาสิ่งเล็กน้อยในวันนั้นที่เรารู้สึกขอบคุณ เช่น ถึงฝนจะตกหนักจนรองเท้าเปียก แต่ยังดีที่เสื้อของเราไม่เปียกแถมยังดูเรียบร้อยเหมือนเดิม  

 

หากวันนั้นไม่มีเรื่องดีเลย  ให้ลองขอบคุณ 3 สิ่งดี ๆ รอบตัว คือ 

  • ขอบคุณตัวเอง ที่ยังคงหายใจและมีชีวิตอยู่
  • ขอบคุณชีวิต เช่น งาน ครอบครัว เพื่อน ที่ยังอยู่เคียงข้าง และขอบคุณบ้านที่ให้เราได้พักอาศัยในวันแบบนี้
  • ขอบคุณโลก เช่น ขอบคุณที่พระอาทิตย์ยังคงส่องแสง พระจันทร์ยังคงทำหน้าที่อย่างไม่บกพร่อง ขอบคุณต้นไม้ ใบหญ้าที่ให้ร่มเงา 

 

เราจะพบว่าแม้ในวันที่แย่ที่สุด ก็ยังคงมีสิ่งที่ดีอยู่เสมอ นับเป็นการฝึกตัวเองให้มองโลกในแง่ดี (Positive Thinking) และดึงดูดสิ่งดี ๆ เข้ามาในชีวิต  

 

6. เปลี่ยนความอิจฉาเป็นแรงบันดาลใจ 

ในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน โซเชียลมีเดียมีผลกับจิตใจของเราเป็นอย่างมาก เมื่อต้องอยู่ร่วมกับมนุษย์คนอื่นในสังคม ‘ความอิจฉา’ เกิดขึ้นเป็นธรรมดา เราเห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันมีหน้าที่การงานดี เราเองก็อยากมีบ้าง เราเห็นคนอื่นร่ำรวย เราก็อยากมีบ้าง จนบางครั้งทำให้รู้สึกด้อยค่าตัวเอง  

 

ความอิจฉาคือพลังงานลบ แต่สามารถเปลี่ยนเป็นพลังงานบวกได้โดยการใช้เป็นแรงบันดาลใจ ความอิจฉาทำให้เราคิดว่า “เขามีสิ่งนั้น ทำไมฉันไม่มี” แต่แรงบันดาลใจจะสอนให้เราคิดว่า “เขามีสิ่งนั้น ฉันเองก็มีได้เหมือนกัน”   

 

อย่างไรก็ตามความสำเร็จของผู้อื่นนั้นจะไม่ส่งผลกับใจของเรา หากเรารู้คุณค่าของตัวเองอย่างแท้จริง ซึ่งนั่นคือการฝึกฝนข้อ 2 การขจัดความกลัวอย่างต่อเนื่อง จนเราสามารถรู้สึกดีกับตัวเอง และรู้สึกยินดีกับความสำเร็จของคนอื่นได้  

 

7. เชื่อมั่นในจักรวาลว่าสิ่งดี ๆ จะต้องเกิดขึ้นกับเรา 

สิ่งสำคัญข้อสุดท้ายคืออดทนรออย่างเชื่อมั่นว่าจะต้องมีเวลาอันเหมาะสมที่เราจะได้ในสิ่งที่ปรารถนา 

 

การเฝ้ารอนั้นไม่ใช่การเฝ้ารออยู่เฉย ๆ และรอให้จักรวาลมอบสิ่งที่ต้องการให้ แต่ Manifest คือการสร้างจักรวาลจากขุมพลังในจิตใจของเราเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ปรารถนา 

 

ถึงตอนนี้ ทุกคนรู้หรือยังว่าจะกระซิบบอกจักรวาลว่าอะไร ? 

 

 

อ้างอิง 

 

SHARE

facebook
twitter
copy
Related articles / บทความที่เกี่ยวข้อง
Loading...