ชวนออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอผ่านศิลปวัฒนธรรม ด้วยท่วงท่านาฏศิลป์ไทย ที่ ‘ไทยฟิต สตูดิโอ’

29 May 2024 - 5 mins read

Health / Body

Share

‘รำไทย’ ที่ทุกคนเห็นว่าอ่อนช้อยสวยงาม กลับซ่อนความแข็งแรงของท่วงท่าเอาไว้อย่างแยบคาย

 

ด้วยนิสัยเป็นคนช่างสังเกตรายละเอียดและมีใจรักในศิลปวัฒนธรรม เพราะใกล้ชิดกับนาฏศิลป์ไทยมาตั้งแต่เด็กของ ครูเฟี้ยว มาดาพร น้อยนิตย์ และ ครูดิว ขจิตธรรม พาทยกุล ทายาทรุ่นสามของ ครูเตือน พาทยกุล ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ดนตรีไทย) ทำให้ทั้งคู่ช่วยกันปลุกปั้น Thai Fit Studio ขึ้นมาเพื่อเปิดคลาสสอนออกกำลังกายด้วยท่วงท่าที่ประยุกต์มาจากนาฏศิลป์ไทย

ครูเฟี้ยว มาดาพร น้อยนิตย์

 

เพียงออกท่าทางตามจังหวะดนตรีพร้อมความสนุกสนาน ทั้งวาดแขนตั้งวง กระดกเท้าย่อตัวลง หรือกระโดดโลดเต้นเลียนแบบสัตว์ในวรรณคดี รู้ตัวอีกที มีเหงื่อไหลชุ่มไม่ต่างจากการออกกำลังกายกลางแจ้ง

 

ลืมกีฬาทุกชนิดและการบริหารร่างกายทุกรูปแบบไปได้เลย เพราะนี่คือวิธีออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอด้วยรำไทยที่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์การกีฬา และผ่านการปรึกษากับแพทย์มาแล้วอย่างลงลึก ซึ่ง LIVE TO LIFE อยากแนะนำให้ทุกคนรู้จักและลองมาร่วมคลาสที่ Thai Fit Studio ด้วยตัวเองสักครั้ง แล้วจะรู้ว่า ‘ไทยฟิต’ หรือ ‘วิธีออกกำลังกายแบบไทย ๆ’ นั่นดีต่อสุขภาพอย่างที่ใครหลายคนคิดไม่ถึง

 

 

ผสาน ‘ศาสตร์’ และ ‘ศิลป์’

ให้ทุกคนฟิตอย่างไทย

ครูเฟี้ยวเล่าถึงจุดเริ่มต้นของ Thai Fit Studio ซึ่งเกิดจากความตั้งใจที่อยากเปลี่ยนภาพจำของทุกคนที่มีต่อนางรำ

 

จากภาพของวิชาเรียนสมัยประถมและมัธยมที่เลือนลาง เพราะห่างเหินไปจนเป็นเรื่องไกลตัว ให้กลายมาเป็นภาพชัดเจนของกิจกรรมเสริมสร้างความแข็งแรงให้ร่างกายที่เข้าถึงคนทุกวัย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่และคนวัยทำงานที่มองหาประสบการณ์ใหม่

 

“ย้อนกลับไปประมาณปี 2558 ช่วงเวลา 2 ปี ก่อนก่อตั้ง Thai Fit Studio ในปี 2560 เราสังเกตเห็นเมกะเทรนด์หนึ่งที่กำลังมาแรง คือ เรื่องสุขภาพ ทั้งคนไทยและคนต่างชาติเริ่มหันมาดูแลสุขภาพตัวเองกันอย่างจริงจัง”

 

“พวกเราเองเป็นครูสอนนาฏศิลป์ไทยอยู่แล้ว เลยคิดตั้งต้นว่า จริง ๆ แล้วท่ารำที่เรียนกันมามันใช้กล้ามเนื้อทุกเกลียวส่วนเลย ถ้าจะนำมาทำในเชิงสุขภาพก็น่าสนใจ เพราะก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีใครพูดถึงรำไทยในแง่มุมที่เกี่ยวกับสุขภาพ”

 

เพื่อปรับท่ารำเป็นท่าบริหารร่างกายที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออย่างถูกหลัก ทำให้ต้องขอคำปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและนักวิทยาศาสตร์การกีฬา เป็นที่มาของวิธีออกกำลังกายแบบ Thai Fit ที่ผสมผสานระหว่าง ‘ศาสตร์’ และ ‘ศิลป์’

 

“ศาสตร์ คือ วิทยาศาสตร์การแพทย์ ที่นำมาผนวก ศิลป์ คือ ศิลปะการแสดงแบบนาฏศิลป์ไทย เป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการทำงานร่วมกัน 3 ฝ่าย คือ เราที่เชี่ยวชาญนาฏศิลป์ไทย แพทย์ และนักวิทยาศาสตร์การกีฬา”

 

“หน้าที่ของเรา คือ ออกแบบและผลิตคลาสไทยฟิต ส่วนคุณหมอและนักวิทยาศาสตร์การกีฬา คือ วิเคราะห์เจาะลึกว่าแต่ละท่า ใช้งานกล้ามเนื้อส่วนไหนบ้าง ท่าไหนดีอยู่แล้วเราก็เก็บเอาไว้ ท่าไหนยังไม่เหมาะ คุณหมอและนักวิทยาศาสตร์การกีฬาจะช่วยปรับมุมของกล้ามเนื้อ ดูเรื่ององศาของท่วงท่าให้เป็นเหมาะสมกับออกกำลังกายที่เน้นประโยชน์ทางกายภาพ และระยะเวลาในการทำท่านั้น ๆ ขั้นตอนนี้ใช้เวลาศึกษาค่อนข้างนาน แต่ถ้าพอรู้หลักแล้วเราก็จะเห็นภาพท่ารำกับการใช้กล้ามเนื้อชัดเจนขึ้น”

 

 

Dancercise แบบ Thai Fit

ออกท่าด้วยความสนุกจนลืมเหนื่อย

ครูเฟี้ยวเรียกการออกกำลังกายของ Thai Fit ว่าเป็นรูปแบบของ Dancercise เพราะเป็นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอที่ประยุกต์มาจากท่ารำมาตรฐาน ระบำ รำวง โขน แม่ไม้มวยไทย และชุดการแสดงในนาฏศิลป์

 

นอกจากความแข็งแกร่งทางกาย ทุกคนยังได้ปลดปล่อยอารมณ์ไปพร้อมกับเสียงดนตรีที่เรียบเรียงขึ้นมาใหม่ให้เหมาะกับการออกกำลังกายแบบ Thai Fit โดยเฉพาะ รับรองว่าจะทำให้สนุกสนานและเพลิดเพลินจนลืมความเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง

 

“เราต้องนำท่ามาร้อยเรียงเป็นคลาสออกกำลังกาย ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที”

 

“โดยแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ Warm Up ใช้เวลา 10 นาที เพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกาย จากนั้นเข้าสู่ช่วง Training ออกกำลังกายตามท่ารำของชุดการแสดงหรือ Theme ต่าง ๆ ที่นำมาเป็นแรงบันดาลในการออกแบบคลาส ช่วงนี้ใช้เวลาประมาณ 45-50 นาที เราจะสอนท่ารำแบบลงรายละเอียดการเคลื่อนไหวที่ถูกต้องก่อน แล้วค่อยเข้ากับเพลง จะทำคลิปผลงานของผู้เข้าร่วมคลาสสั้น ๆ ด้วย และปิดท้ายด้วย Cool Down อีกประมาณ 10 นาที ผ่อนคลายร่างกายและกล้ามเนื้อไม่ให้บาดเจ็บ”

 

จุดสำคัญของ Thai Fit ที่ทำให้เข้าถึงคนทั่วไปได้ง่าย คือ การออกแบบคลาสที่หลากหลาย โดยหยิบยกนาฏศิลป์ไทยที่คนรู้จักกันดีอยู่แล้วมาออกแบบเป็นคลาสออกกำลังกาย แบ่งเป็น 3 รูปแบบ

 

1. Thai Myth เน้นท่ารำอ่อนช้อยสวยงามที่ได้แรงบันดาลใจมาจาก รำ ระบำ หรือชุดโบราณคดี เช่น ระบำนกยูง ระบำสัตว์ ระบำสุโขทัย เป็นการออกแรงด้วยตัวเองเหมือนเล่นเวท

 

2. Thai Folk เน้นท่ารำสนุกสนาน ประยุกต์มาจากนาฏศิลป์พื้นบ้านทั้งสี่ภาค เช่น รำเถิดเทิงกลองยาวของภาคกลาง และและเซิ้งจากภาคอิสาน ได้ขยับร่างกายต่อเนื่องเหมือนออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เน้นการสูบฉีดหัวใจ

 

3. Thai Martial Arts เน้นออกท่วงท่าทะมัดทะแมงที่มาจากศิลปะป้องกันตัว เช่น โขน แม่ไม้มวยไทย กระบี่กระบอง สร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้ดี เกิดความคล่องตัว ทนทาน และความกระฉับกระเฉง

 

 

ภายนอกอ่อนช้อยแบบ ‘นาฏศิลป์ไทย’

ภายในแข็งแรงแบบ ‘คาร์ดิโอ’

อ่อนนอกแข็งใน คือ คำจำกัดความสั้น ๆ ที่อธิบายท่าออกกำลังกายในแบบฉบับของ Thai Fit ได้ เพราะท่าออกกำลังกายส่วนใหญ่ ยังสื่อถึงความอ่อนช้อยสวยงามไม่ต่างจากเดิม

 

“เราลดทอนความซับซ้อนบางท่าทาง หรือปรับท่าใหม่ เพราะต้องการเน้นการบริหารร่างกายทีละส่วน แต่ก็มีหลายท่าที่ไม่ต้องปรับอะไรเลย เป็นความน่าสนใจที่ท่ารำให้ประโยชน์กับร่างกายออกมาได้อย่างที่เราเองก็คิดไม่ถึง”

 

ประโยชน์จากการออกกำลังกายแบบ Thai Fit จึงช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายได้ในหลายส่วน ได้แก่

 

1. การทำงานของระบบประสาทกับระบบกล้ามเนื้อ

“พื้นฐานการออกกำลังกายของ Thai Fit คือ การเคลื่อนไหวร่างกายครบทุกเกลียวส่วน ในหนึ่งท่ารำ ประกอบด้วย การใช้อวัยวะร่างกายหลายส่วน เอียงของศีรษะ คอ ไหล่ ลำตัว มือ แขน และเท้า ซึ่งเป็นการจัดระเบียบร่างกายให้ทุกจุดเคลื่อนไหวแตกต่างกัน เท่ากับว่า ถ้าเราทำได้อย่างต่อเนื่อง ฝึกฝนเรื่อย ๆ ระบบประสาทที่สั่งการกล้ามเนื้อให้เคลื่อนไหว จะยิ่งทำงานได้ดีขึ้น”

 

“อย่าง ท่าจีบหงาย ปกติเราจะจรดนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ แต่ Thai Fit เพิ่มให้เป็นท่าบริหารกล้ามเนื้อมัดเล็ก ให้ทำพร้อมกัน 2 มือ ไล่สลับจีบจากนิ้วชี้ไปจนถึงนิ้วก้อย เป็น ชี้ นาง กลาง ก้อย ก้อย นาง กลาง ชี้ ซึ่งคุณหมอให้ความรู้ว่า ท่านี้ช่วยป้องกันโรคสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ได้”

 

2. กล้ามเนื้อมัดเล็กและกล้ามเนื้อมัดใหญ่

“ท่ารำจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อมัดเล็กและกล้ามเนื้อมัดใหญ่ได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ขยับร่างกายระหว่างวัน หรืออาจจะนั่งผิดท่าเป็นเวลานาน ๆ โดยไม่รู้ตัว จนเกิดปัญหาออฟฟิศซินโดรมบ้าง หรือกล้ามเนื้อยึด ติด บ้าง ร่างกายได้ใช้งานกล้ามเนื้อแค่หยิบ จับ และยกสิ่งของ แต่ท่ารำจะช่วยบริหารกล้ามเนื้อครบทุกส่วน ตั้งแต่นิ้วมือ ข้อมือ ข้อศอก แขน ไหล่ ขา ลำตัว หรือตั้งแต่ศีรษะถึงปลายเท้าก็ว่าได้ เป็นวิธีสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กล้ามเนื้อทุกมัด”

 

“อีกแง่หนึ่งถือเป็นการสำรวจร่างกาย เวลาให้ทำท่าต่าง ๆ จะได้รู้ว่าตัวเองไม่สามารถทำท่าไหนได้ แสดงว่าร่างกายมีข้อจำกัดตรงจุดนั้น เช่น คนที่กล้ามเนื้อไหล่ยึดจะทำท่ากางแขนออกให้ตึงแล้วบิดเข้ามาให้ชิดแนบหน้าอกไม่ได้ ต้องผ่อนคลายและบริหารกล้ามเนื้อจุดนั้นให้ยืดหยุ่น”

 

3. การทรงตัว

“Thai Fit มีท่าให้ได้กระโดดบ้าง ยกเท้าบ้าง กระดกเท้าบ้าง แล้วค้างไว้ระยะหนึ่ง เพื่อช่วยเรื่องการทรงตัว เป็นท่าที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้แกนกลางลำตัวด้วย จุดนี้ สมาธิก็จะอยู่กับร่างกายตัวเอง กล้ามเนื้อของแต่ละคนถูกฝึกฝนและใช้งานมาต่างกัน ครั้งแรกถ้ายังทำไม่ได้ ก็ทำซ้ำ ๆ ได้ ทำซ้ายและขวาให้เท่า ๆ กัน เป็นการปรับสมดุลร่างกายไปด้วย เพียงแต่การทำท่าบางท่าไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่าไม่แข็งแรงนะ เราเสริมสร้างสุขภาพได้เสมอ”

 

4. บอดี้เวท

“ในแต่ละคลาสใช้บอดี้เวทต่างกัน ขึ้นอยู่กับท่วงท่า แต่ทุกคลาสเน้นให้ทุกคนได้ใช้กล้ามเนื้อหนักเบาสลับกันไป การเคลื่อนไหวร่างกายแบบไม่มีพักตลอด 1 ชั่วโมง ทำให้กล้ามเนื้อได้ออกแรงอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว ก็ส่งผลการกระตุ้นให้หัวใจได้สูบฉีดเลือดเต็มที่ ควบคู่ไปกับความรู้สึกสนุกสนานจากเสียงเพลงและเสียงกระตุ้นของครูผู้นำ”

 

 

ออกแบบคลาสไว้หลากหลาย

เลือกเรียนได้ตามความสนใจ

ปัจจุบัน Thai Fit Studio เปิดสอนทั้งหมด 8 คลาส คือ

1. โนรา

2. โขน

3. อีสาน

4. มวยไทย

5. รำกลองยาว

6. ระบำนกยูง

7. ระบำสัตว์

8. ระบำอาเซียน

 

ขอบคุณภาพจาก Thai Fit Studio

 

“ยังมีอีกหลายคลาสที่อยู่ในช่วงศึกษาและพัฒนา เช่น Social Dance แตรวง เริ่มต้นจากการลงพื้นที่เพื่อศึกษาวิจัยในเชิงวิชาการ แต่เราเห็นว่าแตรวงชาวบ้านไม่ค่อยเป็นที่นิยมในหมู่คนเมือง จะมีก็แค่ในพิธีกรรม อย่างงานบวช งานบุญ หรืองานแต่ง”

ขอบคุณภาพจาก Thai Fit Studio

 

“เราจึงอยากยกระดับให้เป็นกิจกรรมเพื่อความบันเทิงที่ทำให้ทุกคนมาออกกำลังกายร่วมกัน เคยทดลองทำแล้วที่งาน Wonderfruit 2023 กับงาน Bangkok Design Week 2024 แล้วได้ผลตอบรับดีมาก คิดว่าอีกไม่นานน่าจะได้สำเร็จเป็นคลาสให้ทุกคนได้มาเรียน”

 

ไม่จำเป็นต้องเคยเรียนรำไทย ขอแค่เปิดใจรับประสบการณ์และมีความกล้าอยากออกกำลังกายในรูปแบบใหม่ เท่านี้ก็เพียงพอพร้อมให้ทุกคนเปลี่ยนจากกางเกงขาสั้นมาใส่โจงกระเบนพร้อมฟิตร่างกายไปกับ Thai Fit Studio ซึ่งแต่ละคลาสจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปในแต่ละเดือน

 

“แต่ละคลาส ครูผู้นำคลาสจะพยายามดูแลให้ทั่วถึง และอยากให้ทุกคนเห็นตัวเองในกระจกแบบชัดเจน เห็นทั้งสรีระและท่าทาง ค่อย ๆ สำรวจตัวเอง แล้วเราจะคอยดูการออกเคลื่อนไหวของแต่ละคนว่าควรปรับองศาหรือทำอย่างไรให้ถูกต้อง เพื่อให้เกิดประโยชน์กับร่างกายที่สุดและเซฟไม่ให้เกิดอาการบาดเจ็บ ซึ่งค่าเรียน คลาสปกติครั้งละ 300 บาท มาเจอกันนะคะ”

 

Thai Fit Studio

ที่ตั้ง : โรงเรียนพาทยกุลการดนตรีและนาฏศิลป์

ที่อยู่ : 358 ถนนพระราม 5 แขวงสวนจิตรลดา เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300

เวลาทำการ : เปิดสอนเฉพาะวันอังคาร เวลา 18.00-19.15 น. และวันเสาร์ เวลา 15.00-16.15 น.

วันและเวลาอาจมีการเปลี่ยนแปลง สามารถสอบถามวันและเวลาที่เปิดสอนในแต่ละเดือน ผ่านช่องทาง

โทร. : 065 628 9416

Facebook : https://www.facebook.com/thaifitstudio

Line Official : @THAIFITSTUDIO

 

SHARE

facebook
twitter
copy
Related articles / บทความที่เกี่ยวข้อง
Loading...