

‘ฝึกหัวเราะ กินอาหารเป็นยา ใช้ศิลปะฮีลใจ’ 3 เคล็ดลับสร้างความสุขให้ร่างกายห่างไกลมะเร็ง
Health / Body
05 Jul 2024 - 10 mins read
Health / Body
SHARE
05 Jul 2024 - 10 mins read
หากจะให้สมญามะเร็งว่าเป็น ‘โรคนักฆ่า’ ก็ไม่ผิดจากความจริงแต่อย่างใด เพราะเมื่อได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นมะเร็ง ต่อให้เป็นคนที่เข้มแข็งแค่ไหนก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกเครียดและหวาดกลัว การหมดกำลังใจในการต่อสู้ส่งผลโดยตรงต่อกำลังกายที่อ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะเมื่อเห็นตัวเลขสถิติของสถาบันมะเร็งแห่งชาติประจำปี พ.ศ. 2565 ที่พบว่าประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคมะเร็งมากกว่า 1 แสนรายต่อปี หรือเฉลี่ย 400 คนต่อวัน อีกทั้งข้อมูลสำนักพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในปี 2564 ยังพบว่าโรคมะเร็งและเนื้องอกต่าง ๆ เป็นกลุ่มโรคที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตมากที่สุด คิดเป็นอัตรา 128 คนต่อประชากร 100,000 คน ยิ่งตอกย้ำความน่าหวาดกลัวของมะเร็ง
แต่จริง ๆ แล้ว หากเรารู้เท่าทันกลไกของมะเร็ง การปรับวิถีชีวิตเพื่อให้ห่างไกลจากอาการเจ็บป่วยด้วยโรคนี้จะทำให้มะเร็งไม่น่ากลัวอีกต่อไป เพราะการดูแลร่างกายและจิตใจเพื่อให้ห่างไกลจากโรคมะเร็งสามารถเริ่มต้นได้ทันที โดยอาศัยสิ่งที่หาได้ง่ายใกล้ตัว 3 อย่าง ได้แก่ เสียงหัวเราะ อาหาร และศิลปะ
ส่วนการจะนำเคล็ดลับธรรมดามาเปลี่ยนเป็น ‘ยา’ เพื่อป้องกันและรักษาโรคมะเร็งได้อย่างไรนั้น LIVE TO LIFE ขอแนะนำ 3 กูรูผู้เชี่ยวชาญในการเปลี่ยนเสียงหัวเราะ อาหาร และศิลปะให้เป็นยาที่ช่วยเยียวยาโรคมะเร็งได้อย่างเห็นผล
เปิดโรงงานผลิตยาในร่างกายได้ด้วย ‘โยคะหัวเราะ’
มะเร็งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น ร่างกายมีเซลล์และฮอร์โมนที่ผิดปกติ หรือเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความเครียด สูบบุหรี่ ขาดการออกกำลังกาย ฯลฯ
หนึ่งในสาเหตุของมะเร็งที่หลายคนมองข้ามไป คือ เกิดจากการที่เซลล์ได้รับออกซิเจนน้อยกว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการออกซิเจนปกติ อันเนื่องมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้องแอร์ ในรถ ในที่ทำงาน โดยไม่มีอากาศธรรมชาติเติมเข้าสู่ร่างกาย ที่สำคัญ คือ ขาดการออกกำลังกายจนนำไปสู่ภาวะที่ร่างกายขาดออกซิเจนนั่นเอง
การเติมออกซิเจนสู่ร่างกายจึงเป็นหนึ่งในกุญแจสำคัญของการรักษาโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง โดย ดร.มาดาน คาทาเรีย (DR. Madan Kataria) แพทย์ชาวอินเดีย เป็นผู้ที่เริ่มตั้งสมมติฐานว่า กลไกที่จะเติมออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็คือ การหัวเราะ นั่นเอง เขาจึงค่อย ๆ พัฒนาศาสตร์โยคะหัวเราะขึ้น จนในที่สุดก็สามารถก่อตั้ง Laughter Yoga International ขึ้นในเมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย เมื่อปี ค.ศ.1995
โยคะหัวเราะ เป็นการผสมผสานระหว่างเทคนิคการหายใจลึกและยาวแบบโยคะ เข้ากับการบริหารร่างกายด้วยการหัวเราะ โดยมีคาถาสั้น ๆ 5 คำจำง่ายว่า Ho Ho Ha Ha Ha ที่ค่อย ๆ เผยแพร่ไปสู่ 120 ประเทศทั่วโลก ผ่านบรรดา Master Trainer ที่ผ่านการฝึกอบรมโดยตรงกับคุณหมอมาดาน
ปัจจุบัน Master Trainer ของ Laughter Yoga ทั่วโลกมีเพียง 70 คน หนึ่งในนั้นคือ ครูเก๋ - วรารักษ์ สู่โนนทอง ที่ล่าสุดเพิ่งได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 55 ครูสอนโยคะหัวเราะที่ทรงอิทธิพลและสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนมากที่สุดในโลก
ครูเก๋ - วรารักษ์ สู่โนนทอง
จุดเริ่มต้นของอดีตแอร์โฮสเตสในการทำความรู้จักศาสตร์โยคะหัวเราะเกิดขึ้นจากอาการป่วยไข้สารพัดโรคที่รุมเร้าเธอมานานหลายปี ไม่ว่าจะเป็นคางทูม อีสุกอีใส เนื้องอกในมดลูก ช็อกโกแลตซีสต์ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ไทรอยด์เป็นพิษขั้นรุนแรง เส้นเสียงเป็นอัมพาต นำไปสู่ภาวะซึมเศร้าที่ทำให้เธออยากจบทุกปัญหาด้วยการพยายามฆ่าตัวตาย
แต่ท้ายที่สุดแล้ว เธอเชื่อว่านั่นไม่ใช่ทางออกของปัญหา และเมื่อเกิดปัญญา ครูเก๋จึงค้นหาคำตอบในการหลุดพ้นจากสภาวะป่วยไข้ จนพบว่าการฝึกโยคะหัวเราะคือยาดีที่ไม่ต้องไปหาซื้อที่ไหน แต่สามารถผลิตได้ด้วยตัวเอง
“การฝึกโยคะหัวเราะไม่จำเป็นต้องเกิดจากอารมณ์ขัน แต่ด้วยกระบวนการจะทำให้ผู้ฝึกค่อย ๆ เปล่งเสียงออกมา และเปลี่ยนไปสู่การหัวเราะในที่สุด”
“กลไกการเปลี่ยนเสียงหัวเราะให้เป็นยาจะต้องเกิดจากการหัวเราะต่อเนื่องอย่างน้อย 10-15 นาที เพื่อให้เกิดปฏิกิริยาเคมีทางร่างกาย โดยร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่เป็นสารแห่งความสุขต่าง ๆ ออกมา เช่น เอ็นโดรฟิน เซโรโทนิน โดพามีน ออกซิโตซิน ฯลฯ”
“ยกตัวอย่างฮอร์โมนเอ็นโดรฟิน ซึ่งถือเป็นสารระงับปวดชั้นดี เอ็นโดรฟินที่หลั่งออกมาจากการฝึกโยคะหัวเราะจะมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการฉีดมอร์ฟีนระงับปวดได้ถึง 2 ชั่วโมง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยมะเร็งต้องการ”
“ด้วยความที่คุณสมบัติเด่นของมะเร็ง คือ ไม่ชอบออกซิเจน ในขณะที่การฝึกโยคะหัวเราะเป็นเหมือนเครื่องจักรผลิตออกซิเจนชั้นดี โดยการเปล่งเสียง ฮ่า ฮ่า ฮ่า ออกมาขณะหายใจออก ซึ่งเป็นการนำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่หมักหมมในปอดออกไปให้มากที่สุด ทำให้สามารถสูดลมหายใจใหม่รับออกซิเจนเข้าปอดอย่างเต็มที่ นี่คือเหตุผลที่ผู้ป่วยมะเร็งควรต้องฝึกโยคะหัวเราะ เพราะได้ทั้งความสนุก คลายเครียด และเป็นการฟอกปอดฆ่าเซลล์มะเร็งอย่างแท้จริง”
“สำหรับใครที่อารมณ์ดีเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว อาจจะคิดว่าถ้าอย่างนั้นคงไม่จำเป็นที่ตนเองจะต้องฝึกโยคะหัวเราะ เพราะหัวเราะบ่อยในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว แต่ที่จริงแล้วการหัวเราะง่ายไม่ได้หมายความว่า ร่างกายสามารถผลิตยาขึ้นมาได้ แต่ต้องหัวเราะให้ถึงระดับของการสร้างยา ซึ่งต้องมีระยะเวลาที่ต่อเนื่อง และหัวเราะอย่างเต็มที่จากช่องท้อง”
“อีกทั้งประโยชน์ที่แท้จริงของโยคะหัวเราะไม่ได้เกิดขึ้นขณะกำลังหัวเราะ แต่อยู่ที่ขั้นตอนสุดท้ายอย่างการทำ Grounding เพื่อทำให้คลื่นความถี่ในร่างกายเรา ปรับกลับมาอยู่ในสภาวะที่ควรจะเป็น สมมติว่าตัวเราเป็นโรงงานผลิตยา การฝึกโยคะหัวเราะเป็นการค่อย ๆ ให้เครื่องจักรร่างกายทำงานจนกระทั่งผลิตสารเคมีต่าง ๆ ป้อนเข้าไปในร่างกาย แต่สารเคมีที่เป็นยาเหล่านั้นยังไม่ได้ไหลเวียนไปสู่ระบบต่าง ๆ ในร่างกาย จนกว่าจะเกิดกระบวนการ Grounding ซึ่งเป็นการทำร่างกายให้สงบลง เพื่อให้ออกซิเจนไหลเวียนไปทั่วร่างกาย จึงจะเป็นการฝึกโยคะหัวเราะที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง”
ทำความรู้จักศาสตร์โยคะหัวเราะเพิ่มเติมได้ที่ facebook.com/SchoolOfLaughter
เลือก ‘กินอาหารเป็นยา’
ป้องกันร่างกายไม่ให้กินยาเป็นอาหาร
อีกหนึ่งในสาเหตุหลักของโรคมะเร็ง มีต้นตอมาจากอาหารและพฤติกรรมการกินที่ทำลายสุขภาพ โดยเฉพาะการเลือกกินแต่สัตว์เนื้อแดงที่ผ่านการปิ้งย่างจนไหม้เกรียม อาหารที่ผ่านการทอด อาหารที่มีไขมันทรานส์สูง รวมถึงอาหารแปรรูปที่ใส่สารเสริมหรือสารปรุงแต่งเป็นวัตถุเจือปนอาหาร
หนทางเดียวที่จะช่วยเยียวยาและป้องกันร่างกายของทุกคนไม่ให้เจ็บป่วยจากโรคมะเร็ง คือ หันมาใส่ใจกับสุขภาพตัวเองด้วยวิธี ‘เลือกกินอาหารเป็นยา’ ตามคำกล่าว ‘Let thy food be thy medicine’ ของฮิปโปเครติส (Hippocrates) แพทย์ชาวกรีกโบราณ ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งการแพทย์
เช่นเดียวกับความตั้งใจของ เชฟโอ - นัฐกาญจน์ ศรีสวัสดิ์ แห่งร้าน O’ganic Concept ที่ต้องการแบ่งปันความรู้เกี่ยวกับการเลือกกินอาหารเป็นยาและเคล็ดลับการทำอาหารสุขภาพที่อร่อย พร้อมช่วยให้ร่างกายของทุกคนแข็งแรงและห่างไกลมะเร็ง เพราะเชฟโอเป็นเชฟผู้เชี่ยวชาญอาหารเพื่อสุขภาพ ทั้งสำหรับคนทั่วไปและคนป่วย ด้วยประสบการณ์ปรุงอาหารและคิดค้นเมนูให้ผู้ป่วยมะเร็ง ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับแพทย์มานานกว่า 10 ปี
เชฟโอ - นัฐกาญจน์ ศรีสวัสดิ์
“เมื่อก่อนคนมองว่าอาหารสุขภาพเป็นเรื่องไกลตัว ที่สำคัญคือมีรสชาติจืดชืดไม่อร่อย คนจึงไม่ค่อยให้ความสนใจ โดยเฉพาะคนเมืองที่ใช้ชีวิตเร่งรีบ ทุกอย่างต้องรวดเร็วแม้แต่เรื่องอาหารการกิน ทำให้หลายคนกินอาหารปรุงสำเร็จ ฟาสต์ฟู้ด อาหารกระป๋อง อาหารกึ่งสำเร็จรูปที่อุ่นไมโครเวฟไม่กี่นาที เพราะเน้นความสะดวกสบายเป็นหลัก”
“อาหารเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็น Processed Foods หรืออาหารที่ผ่านการแปรรูปหลายขั้นตอน มีแต่ไขมัน แป้ง น้ำตาล โซเดียม และใช้วัตถุกันเสีย ยิ่งกินบ่อยกินนานมากเท่าไหร่ ยิ่งเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งมากเท่านั้น กว่าจะรู้ตัวว่าสุขภาพย่ำแย่จนป่วยเป็นโรค ก็สายไปแล้ว”
“ถ้าหากเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายระหว่างค่าอาหารเพื่อสุขภาพกับค่ารักษาตัวตอนเป็นมะเร็ง จะเห็นว่าต่างกันชัดเจน ค่ารักษามะเร็งใช้เงินมาก แล้วต้องรักษานานหลายปีกว่าจะดีขึ้น บางคนอาจต้องใช้เงินซื้อยากินไปตลอดชีวิต แต่ปัญหาทั้งหมดจะไม่มีทางเกิดขึ้นเลย หากเราเลือกปรับพฤติกรรมการกินใหม่ หันมากินอาหารเป็นยาตั้งแต่ตอนนี้ เพราะเป็นวิธีป้องกันตัวเราเองไม่ให้ป่วยจนต้องกินยาเป็นอาหาร”
“พอคนเริ่มเห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพจึงเกิดเป็นเทรนด์ในการดูแลตัวเอง ทำให้อาหารสุขภาพได้รับความนิยมตามไปด้วย อย่างตัวเชฟเองมีโอกาสได้ออกแบบเมนูสุขภาพสำหรับผู้ป่วยโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะคนไข้โรคมะเร็ง ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกับคุณหมอที่รู้จักกัน”
“ผู้ป่วยโรคมะเร็งมีข้อจำกัดเรื่องการกินเยอะมาก ต้องเลี่ยงสัตว์เนื้อแดงและสัตว์ที่เนื้อมีมัน ห้ามกินอาหารรสจัด ห้ามกินคาร์โบไฮเดรตขัดสี เช่น ข้าวขาวและขนมปังขาว ห้ามกินขนมหวานและผลไม้ที่มีรสหวานจัด เพราะทำให้ร่างกายอักเสบมากกว่าเดิม หน้าที่ของเชฟคือหาวัตถุดิบสุขภาพที่ใช้แทนกันได้”
“เช่น กะเพราหมูสับ เปลี่ยนจากข้าวสวยเป็นธัญพืช หรือคีนัว หรือดอกกะหล่ำต้มสับหยาบ ทำให้อิ่มนาน มีไฟเบอร์หรือกากใยสูง ช่วยเรื่องขับถ่ายและลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ส่วนหมู เปลี่ยนเป็นเห็ดหรือเต้าหู้ สำหรับการปรุง ให้เปลี่ยนจากน้ำมันพืชเป็นน้ำมันมะกอก ไม่ใส่น้ำตาล เกลือ น้ำปลา ผงชูรส อาจใส่ซีอิ๊วขาวเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติ ส่วนใบกะเพราใส่ได้เหมือนเดิม เพราะเป็นพืชผักสมุนไพรที่มีประโยชน์”
“หรืออาหารสุขภาพใกล้ตัวทุกคนอย่างสลัด เชฟก็หาวิธีดัดแปลงจัดวางไม่ให้น่าเบื่อหรือจำเจ ทำเป็นซูชิผักสีรุ้งขนาดพอดีคำ เพื่อเพิ่มสุนทรียะให้กับการกินอาหารสุขภาพ เลือกใช้ผักหลากสีสันทั้งกะหล่ำม่วง แคร์รอต พริกสามสี และผักใบเขียวที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งได้”
“มีของคาวก็ต้องมีของหวาน ขนมหรือของว่างที่หลายคนชอบกินอย่างบราวนี่ เซฟได้ดัดแปลงโดยตัดแป้งและน้ำตาลออกไป เปลี่ยนมาใช้ลูกพรุนและถั่วเป็นวัตถุดิบหลักแทน กลายเป็นขนมที่ให้พลังงาน อร่อยได้โดยไม่ทำลายสุขภาพ”
“ส่วนน้ำผักเพื่อสุขภาพที่อยากแนะนำ คือ Green Juice เพราะเป็นสูตรต้านมะเร็งที่ทำง่าย ใช้วัตถุดิบเพียง 6 อย่าง คือ ผักเคล เซเลอรี แตงกวา แอปเปิลเขียว มะนาว และขิง นำมาปั่นรวมกัน มีกากใยสูง ช่วยขับล้างสารพิษภายในร่างกายได้ดี”
“สำหรับคนป่วย ต้องปรับการกินใหม่ตามคำแนะนำของหมอ ช่วงแรกอาจจะรู้สึกยากเพราะยังไม่ชิน ซึ่งต้องใช้เวลาในการปรับตัว อยากให้เปลี่ยนความคิดใหม่ว่า อาหารสุขภาพไม่จำเป็นต้องจืดชืดหรือไม่อร่อย จะทำให้มีแรงมีกำลังใจต่อสู้กับโรค ส่วนคนที่ยังไม่ป่วย อยากให้หันมากินอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้น เลือกกินอาหารเป็นยาในวันนี้ดีกว่ากินยาเป็นอาหารในวันข้างหน้า อาจเริ่มจากวันละมื้อ โดยเฉพาะคนทำงานที่อายุขึ้นเลขสามเลขสี่ ซึ่งเป็นวัยที่เกิดความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง”
ลิ้มลองอาหารเพื่อสุขภาพฝีมือเชฟโอได้ที่ร้าน O’ganic Concept ตั้งอยู่ในซอยอารีย์สัมพันธ์ 1 เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08:00 - 20:00 น. ทุกเมนูเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่ทุกคนกินได้อย่างสบายใจ ส่วนคนที่กำลังป่วยอยู่ สามารถแจ้งเงื่อนไขเรื่องอาหารการกินกับทางร้านได้ เพื่อปรับเปลี่ยนวัตถุดิบและวิธีการปรุงให้เหมาะสมกับโรค
ฝึกวาดภาพแบบ Neurographic Art
ให้ ‘ศิลปะบำบัด’ เยียวยาทั้งกายและใจ
‘จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว’
จิตใจและร่างกายของมนุษย์เรานั้นทำงานสอดประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบราวกับวงซิมโฟนี เมื่อจิตใจเจ็บป่วย ร่างกายก็ป่วยตาม ในขณะเดียวกัน ในวันที่ร่างกายเจ็บป่วย ก็อาจจะส่งผลให้เกิดความไม่มั่นคงทางใจตามมาได้
มีผู้ป่วยมะเร็งมากมายที่ต่อสู้กับโรคร้ายนี้จนหายดี นอกจากร่างกายที่ตอบสนองกับการรักษาแล้วสิ่งสำคัญคือ ‘จิตใจ’ อันเข้มแข็งที่สามารถสร้างขุมพลังดี ๆ จากในใจตัวเองเพื่อมาเยียวยาร่างกาย และหนึ่งในวิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยสร้างพลังงานดี ๆ ให้กับจิตใจก็คือ ศาสตร์แห่ง ‘ศิลปะบำบัด’
ศิลปะไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงามและการสื่อสารเท่านั้น แต่กระบวนการของศิลปะยังทำงานกับร่างกายและจิตใจของมนุษย์เราโดยตรง เราขอชวนไปรู้จักกับ Neurographic Art ศิลปะที่ช่วยฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ และพูดคุยกับ ครูกิฟท์ - กิติยา คลังเพ็ชร์ ครูสอนศิลปะที่เคยป่วยเป็นมะเร็งและค้นพบความมหัศจรรย์ของศาสตร์นี้จากการทดลองด้วยตัวของเธอเอง
ครูกิฟท์ - กิติยา คลังเพ็ชร์
ครูกิฟท์เคยป่วยเป็น โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (Autoimmune Disease) ซึ่งเป็นโรคที่ภูมิคุ้มกันจะทำร้ายร่างกาย ทำให้ปวดกระดูกและข้อจนไม่สามารถจับพู่กันวาดรูปได้ อีกทั้งยังเคยตรวจพบมะเร็งที่ต่อมไทรอยด์ ทำให้ต้องหยุดวาดรูป และกลับมารักษาตัวอย่างจริงจัง นอกจากต้องกินยาตามแพทย์สั่งแล้ว เธอยังเฟ้นหาวิธีต่าง ๆ ที่จะใช้เยียวยาตัวเองให้หายดีไปพร้อม ๆ กันด้วย นั่นทำให้ครูกิฟท์ได้รู้จักกับ Neurographic Art ศิลปะบำบัดที่ช่วยฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจ
Neurographic Art หรือ Neuragraphica คือ ศิลปะบำบัดที่ใช้เทคนิคการวาดเส้นแบบ ‘เส้นปมประสาท’ (Neuro Lines) หรือ เส้นแบบอิสระที่จะเชื่อมจิตสำนึกและจิตไร้สำนึกของเราเข้าด้วยกัน หน้ากระดาษและมือที่กำลังขีดเขียนจะเป็นประตูที่พาเราเข้าไปสู่จิตใจ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับจิตใต้สำนึก ปรับอารมณ์ รวมถึงเยียวยาความเจ็บปวดเรื้อรังในร่างกาย
ศาสตร์นี้ถูกคิดค้นขึ้นโดย ศาสตราจารย์พาเวล ปิสคาเรฟ (Patel Piscarev) นักจิตวิทยาชาวรัสเซียผู้ก่อตั้งสถาบัน Psychology of Creativity
“สิ่งนี้เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ เราทดลองกับตัวเองจนพิสูจน์ได้ว่ามันเวิร์ก ตั้งแต่ทำนิวโรกราฟิกอาร์ตมา รู้เลยว่าพลังชีวิตเยอะมาก ในฐานะที่ป่วยทั้งออโตอิมมูนและเป็นมะเร็ง ร่างกายของเราเหมือนต้นไม้โดนแดดแรง จะเหี่ยว ๆ เฉา ๆ พอทำสิ่งนี้ไปเรื่อย ๆ เหมือนเราได้ชีวิตใหม่ พอร่างกายสดชื่น ฮอร์โมนแห่งความสุขก็หลั่งออกมา สิ่งเหล่านี้เกิดจากการทำนิวโรกราฟิกอาร์ตซ้ำ ๆ มาเกือบ 2 ปี เราเห็นความก้าวหน้าของตัวเอง เลยมั่นใจมากว่าเจอเครื่องมือที่จะช่วยเหลือทั้งตัวเองและคนอื่นได้”
“วิธีการนี้เป็นวิทยาศาสตร์ที่ทำงานกับจิตใจและสมอง จริง ๆ แค่มือกับตาทำงานประสานกัน หูได้ยินเสียงดินสอขูดกระดาษก็ช่วยให้ดีขึ้นแล้ว แต่สิ่งนี้ทำมากกว่านั้น คือ เมื่อมือเราวาดเส้นด้วยเทคนิคปมประสาท ร่างกายก็จะสร้างปมประสาทไปด้วย สมองของเรามีขาเป็นนิวรอนที่แตกแขนง ยิ่งอายุมากขึ้น สิ่งนี้ก็แห้งเหี่ยว ตายไป แต่ถ้าเติมเข้าไปใหม่ก็ทำให้สมองของเรากลับมาเหมือนตอนอายุยังน้อยอีกครั้ง ฟังก์ชั่นต่าง ๆ ของร่างกายเราใช้ระบบประสาททั้งนั้น ร่างกายก็ทำงานดีขึ้นตามไปด้วย”
“ส่วนด้านจิตใจ กระบวนการนี้จะเป็นประตูเชื่อมต่อกับจิตใต้สำนึก เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เข้าไปเปลี่ยนแปลงร่างกายในระดับจิตไร้สำนึก โดยเฉพาะอาการป่วยที่หาสาเหตุไม่ได้ บางครั้งเราปวดไม่มีสาเหตุ อาจเพราะจิตใต้สำนึกอันซับซ้อนกำลังเกิดบางอย่างขึ้นและแสดงออกมาเป็นอาการทางกาย การวาดรูปจะไปช่วยกะเทาะจิตใต้สำนึก ช่วยให้อาการป่วยเหล่านั้นดีขึ้นได้ ถ้าเราจะทำงานกับจิตใต้สำนึก เราจะใช้คำพูดสั่งการไม่ได้ เขามีภาษาของเขา”
ครูกิฟท์มีพื้นฐานด้านศิลปะบำบัด เคยศึกษาด้าน Creative Art Therapy มาก่อน จากคณะศิลปกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสถาบัน Haifa ประเทศอิสราเอล และศึกษาเพิ่มเติมเพื่อเป็นเป็นโค้ชเต็มรูปแบบกับ ครูเอ๋ - ดร.อรุโณทัย ไชยช่วย ผู้เชี่ยวชาญศิลปะบำบัดในแนวมนุษยปรัชญา ปัจจุบันครูกิฟท์ศึกษาศาสตร์ Neurographic Art ที่ Psychology of Creativity กับศาสตราจารย์พาเวลโดยตรง เพราะหลังจากที่ค้นพบความมหัศจรรย์ของศาสตร์นี้ด้วยตัวเอง เธอก็อยากส่งต่อวิธีการนี้ให้กับคนอื่น ๆ ด้วย
เราทุกคนสามารถทำ Neurographic Art ได้โดยไม่จำเป็นต้องมีพื้นฐานด้านการวาดรูปมาก่อน เพียงเปิดใจ พร้อมที่จะทำความรู้จักตัวเองผ่านการวาดภาพ และหมั่นฝึกฝนบ่อย ๆ ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งอาจเกิดขึ้นกับทุกคนได้เหมือนที่เกิดขึ้นกับครูกิฟท์
“สำหรับผู้ป่วย กระบวนการนี้จะช่วยลดอาการปวดในร่างกายและรู้สึกผ่อนคลายขึ้นได้ ปวดเมื่อไหร่แค่หยิบกระดาษขึ้นมาวาดรูปก็จะช่วยได้ เพียงแต่เราต้องฝึกบ่อย ๆ เพราะสมองของเราถูกโปรแกรมมาเป็นเวลานาน การที่จะทำให้เกิดแม่น้ำสายใหม่ขึ้นในสมอง เราจึงต้องทำซ้ำ ๆ”
“สิ่งนี้เป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่อยากให้ทุกคนได้ลองทำ เชื่อว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นมีมากกว่าความรู้สึกสบายใจอย่างแน่นอน”
ใครอยากเปิดประตูเข้าไปคุยกับจิตใจและฟื้นฟูร่างกาย ติดตามการทำ Neurographic Art กับครูกิฟท์ได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ Gift is a Life