![](/_next/image?url=https%3A%2F%2Fstrapi.livetolife.thailife.internal%3A1337%2Fupload%2Fimages%2F5d4bbdec4922e1fa64ad.jpg&w=3840&q=75)
![](/_next/image?url=https%3A%2F%2Fstrapi.livetolife.thailife.internal%3A1337%2Fupload%2Fimages%2Faf69c7d0581828004abc.jpg&w=3840&q=75)
‘สยาโม’ ครีเอเตอร์สายวินเทจที่ชวนทุก Gen ย้อนวันวานผ่านเสื้อผ้า ทรงผม และเสียงเพลง
Better Life / People
25 Dec 2024 - 10 mins read
Better Life / People
SHARE
25 Dec 2024 - 10 mins read
“อดีตเป็นสิ่งที่น่าโหยหาและน่าตื่นเต้นกว่าชีวิตปกติในปัจจุบันเสมอ”
‘สยาโม’ บอกกับ LIVE TO LIFE แบบนั้น
เธอคือครีเอเตอร์ Gen Z ที่มีฝีมือในการสร้างสรรค์คอนเทนต์แต่งหน้า แต่งตัว ทำผมย้อนยุค ที่สามารถพาบรรดา Followers ถอยเวลากลับไปไกลถึง พ.ศ. ที่คนวัย Baby Boomers ยังเป็นวัยรุ่นที่กำลังเต้นกับดนตรีสุดฟังก์ (Funk) อยู่ในดิสโก้เธค
ทุกคอนเทนต์ของสยาโมที่นำเสนอผ่านช่องทาง TikTok นั้นทำดีและทำถึง เธอจึงมียอด Followers ทะลุ 3 ล้านราย และมีแนวโน้มที่จะมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะพัฒนาการของสาวตาโตร่างเล็กคนนี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่ความหลากหลายของแฟชั่นวินเทจที่เธอขยันหยิบจับมานำเสนอเท่านั้น
ใครที่ติดตามการประกวดร้องเพลงเวที The Voice Thailand มาโดยตลอด น่าจะคุ้นหน้าคุ้นตาผู้เข้าประกวดที่ชื่อ แตงโม - สยาภา สิงห์ชู กับเอกลักษณ์ของการร้องเพลงลูกทุ่งและลูกกรุงด้วยแก้วเสียงที่ใสกังวาน ไพเราะจับใจ
จาก ‘แตงโม สยาภา’ สาวน้อยที่ไล่ล่าความฝันในงานประกวดร้องเพลงทุกเวทีมาตลอด 10 ปี เติบโตมาเป็น ‘สยาโม’ ครีเอเตอร์สายวินเทจเจ้าของรางวัล TikTok Creator of the Year 2024 ความสำเร็จที่ทำเอาเธอเกือบลืมเป้าหมายของการเป็นนักร้องไปแล้ว
แต่ในที่สุด ปีนี้สยาโมก็ได้เป็นเจ้าของเพลงแรกในชีวิตที่ชื่อ คอยพี่ที่ BTS สมการสุดลงตัวของการหยิบจับเอาท่วงทำนองฟังก์ (Funk) สนุก ๆ ในยุค 70 มาร้อยเรียงด้วยถ้อยคำสละสลวย ติดหูด้วยชื่อเพลงที่แกล้งเชย บวกกับเสื้อผ้า หน้า ผม ยุคเก่าสุดเก๋าในสไตล์สยาโม ถือเป็นอีกก้าวที่หญิงสาวเชื่อมโยงบรรยากาศและกลิ่นอายในอดีตให้เชื่อมโยงความสุขของคนต่าง Gen เข้าด้วยกันอย่างคลาสสิก
ทำความรู้จัก ‘สยาโม’ ไปด้วยกัน ผ่านเรื่องราวในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของครีเอเตอร์ที่สนุกกับการใช้กลิ่นอายแห่งยุคสมัยเป็นพลังขับเคลื่อนแรงบันดาลใจ
อะไรคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณหลงใหลการแต่งตัวสไตล์วินเทจ และชอบร้องเพลงแนวลูกทุ่งลูกกรุง
“จุดเริ่มต้นน่าจะเป็นความชอบที่สั่งสมมาตั้งแต่เด็กแล้วค่ะ เพราะโมใช้เวลาอยู่กับคุณพ่อคุณแม่เยอะ ซึ่งคุณพ่อชอบฟังเพลงลูกทุ่งลูกกรุงมาก ดังนั้นเพลงที่โมฟังและหัดร้องมาตั้งแต่เด็กจึงมักเป็นเพลงแนวนี้ และโมก็ชอบดูละครมาก โดยเฉพาะละครพีเรียดแนว ๆ คุณหญิง คุณชาย พอเข้ามหาวิทยาลัยศิลปากรก็เริ่มรู้จักวงการเสื้อผ้ามือสอง ด้วยความที่ทางมหาวิทยาลัยไม่ได้บังคับให้ใส่ชุดนักศึกษาไปเรียน และ Culture ของเด็กศิลปากรนิยมแต่งตัววินเทจกันอยู่แล้ว ก็เลยได้แต่งตัววินเทจไปเรียนทุกวัน ซึ่งวินเทจของโมไม่เหมือนกันวินเทจของคนอื่นที่นิยมแต่งตัวแบบฮิปปี้ เสื้อยืดวินเทจ หรือเสื้อยืดวงดนตรี แต่ความวินเทจของโมคือวินเทจย้อนยุคแบบในละคร”
นอกจากสนุกกับการแต่งตัวแนววินเทจแล้ว ได้มีการ Research ข้อมูลเรื่องแฟชั่นเพิ่มเติมไหมว่าที่ชุดที่เลือกนำมาแต่งตัวมาจากยุคไหน
“ด้วยความที่โมเรียนคณะดุริยางคศาสตร์ สาขาธุรกิจดนตรีและบันเทิง ซึ่งต้องเรียนวิชาประวัติศาสตร์แฟชั่น เลยทำให้มีโอกาสได้รู้จักเรื่องราวของแฟชั่นในแต่ละยุค เช่น เสื้อผ้าในยุค 20 ต่างจากยุค 30 ยังไง ตอนแรกโมยังไม่ได้จริงจังกับการ Research ข้อมูลขนาดนั้น แต่พอมาทำคอนเทนต์ลง TikTok ช่อง sayamo_ss เลยต้องหาข้อมูลมาเล่าเพิ่มเติมว่าวันนี้เราจะทำคอนเทนต์จากยุคนี้ให้คนดูรู้สึกสนุกมากขึ้น”
พัฒนาการของคอนเทนต์ใน TikTok เป็นอย่างไรบ้าง
“คอนเทนต์แรกสุดที่ทำให้คนวิ่งเข้าช่องคือ ไปดัดผมหยิกในร้านคุณป้าแถวสวนหลวง ตอนนั้นโมยังไม่ได้เป็น Content Creator เต็มตัว แค่ทำคอนเทนต์สนุก ๆ เฉย ๆ เลยถ่ายคลิปเก็บไว้แบบไม่ได้คิดอะไร เอามาตัดเล่น ๆ โดยไม่ได้พากย์เสียง แต่ใส่เพลงของแม่ผ่องศรี วรนุช ประกอบ เพราะเราเห็นว่าเพลงเก่าดี พอลงคอนเทนต์นี้ไปปุ๊บ วันแรกมีคนดูสามล้าน View โมก็เลยรู้สึกว่า อุ๊ย เราดังแน่เลย ทำยังไงดี (หัวเราะ) หลังจากนั้นก็ต้องหาวิธีให้คนที่เข้ามาด้วยคลิปนี้อยู่กับช่องเราต่อไปเรื่อย ๆ เพราะอาจารย์สอนว่าเราต้องเก็บฐานผู้ติดตามเอาไว้ หลังจากวันนั้นโมจึงตั้งกล้องถ่ายคลิปตอนแต่งตัวไปเรียนตอนเช้า ถ้าไปเรียนทุกวันก็ลงคลิปทุกวัน”
“ช่วงแรกใส่ชุดวินเทจมือสองก่อน หลังจากนั้นมีคอนเทนต์เปิดกรุเสื้อผ้าแม่ ซึ่งเป็นอีกจุดเปลี่ยนที่ทำให้ช่องกลับมาบูมอีกรอบ และมีคนติดตามจากคลิปนั้นเยอะมาก หลังจากนั้นก็เริ่มแต่งเป็น Iconic ของแต่ละยุค เช่น คุณเพชรา เชาวราษฎร์, คุณปุ๋ย - ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก ฯลฯ ช่วงนั้นเริ่มมีสปอนเซอร์เข้ามาแล้วเลยได้ทำคอนเทนต์ที่หลากหลายตามบรีฟของลูกค้าบ้าง”
“เนื้อหาของคอนเทนต์อีกรูปแบบที่โมพยายามทำเรื่อย ๆ คือ ไม่ว่าจะไปจังหวัดไหน ไปเจอวัฒนธรรมอะไร เราจะแต่งตัวตามวัฒนธรรมนั้น ๆ เช่น ไปภูเก็ตก็แต่งชุดพื้นเมืองบาบ๋าย่าหยา ไปเยี่ยมบ้านคุณยายของโมที่เพชรบุรีก็ใส่ชุดไทยทรงดำ เพราะคุณยายเป็นชาวไทยทรงดำ ซึ่งเป็นชนเผ่าที่อพยพมาจากเวียดนามและลาวตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 และตั้งรกรากอยู่ในหลายจังหวัดของไทย เช่น เพชรบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ฯลฯ ถือเป็นชุมชนที่ใหญ่มาก แต่ไม่เคยมี Influencer คนไหนทำให้เรื่องนี้เป็นที่รู้จักขึ้นมา การที่โมไปถ่ายทำเรื่องราวของชุมชนนี้ ทำให้เขารู้สึกภูมิใจที่เป็นชาวไทยทรงดำ เห็นไหมล่ะ คนดังมาถ่ายที่หมู่บ้านฉัน คนดังเป็นสายเลือดฉันด้วย”
เป้าหมายของคุณในฐานะ TikToker คืออะไร
“ปีนี้โมได้รับรางวัล TikTok Creator of the Year 2024 ซึ่งก็ถือเป็นเป้าหมายหนึ่งในเส้นทางการทำงาน ต้องเล่าก่อนว่า TikTok Awards Thailand จัดมาสามปีแล้ว ปีแรกที่เขาจัดงานนี้ขึ้นมา โมยังไม่ได้เป็น Creator พอปีที่สองโมเริ่มทำคอนเทนต์ใน TikTok ได้ปีนึง และถูกเสนอชื่อเข้าชิงในหมวด People’s Choice Awards แต่แพ้คะแนนโหวต เลยรู้สึกเสียดายมาก เพราะโมรู้สึกว่าชีวิตตัวเองประสบความสำเร็จได้ก็เพราะ TikTok เลยอยากได้รางวัลนี้เพื่อการันตีความสำเร็จของเรา โชคดีที่ปีนี้ถูกเสนอชื่อในหมวดเดิมอีกครั้ง จึงตั้งใจว่าต้องคว้ารางวัลมาให้ได้ เลยทำทุกวิถีทางในการเกณฑ์คนให้มาโหวตให้เรา เรียกได้ว่าหาเสียงหนักมาก จนในที่สุดสยาโมก็ได้รับรางวัล TikTok Creator of the Year 2024 สมใจ”
“โมคิดว่าการจะทำให้คนทั้งประเทศอยากกดโหวตให้เราภายในช่วงเวลาสั้น ๆ ของการจัดงานประกวด ต้องเกิดจากการที่เราหว่านปุ๋ยมานานแล้ว รางวัลนี้คือผลผลิตของการทำคอนเทนต์ตลอดสองปีของโมที่ทำให้คนทั้งประเทศตัดสินใจโหวตให้สยาโมภายในระยะเวลาแค่สองอาทิตย์ โชคดีที่คนจดจำเราได้แล้ว พอถึงเวลาที่เราขอความช่วยเหลือ เขาเลยอยากโหวตให้เรา”
การจะเป็น Creator ที่ประสบความสำเร็จต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง
“อันดับแรก คือ ต้องมีสไตล์ที่แตกต่าง มีเอกลักษณ์ของตัวเอง เพราะถ้าไม่มีสไตล์ คนก็ไม่จำ แต่ถ้ามีสไตล์แล้วไม่มี Marketing คนก็ไม่ดูคลิปเหมือนกัน ติสต์เกินไป คลิปไม่สื่อสารก็ไม่แมส ด้วยความที่โมเรียนการตลาดบันเทิงมาด้วยเลยรู้ว่าจะทำให้ความเป็น Artist ออกมาแมสได้อย่างไร”
“อีกหนึ่งคุณสมบัติที่สำคัญมาก คือ ความสม่ำเสมอ โดยเฉพาะเมื่ออยู่บนแพลตฟอร์ม TikTok ที่ต้องทำคอนเทนต์ทุกวัน ไม่เหมือน YouTube หรือแพลตฟอร์มอื่น ในช่วงแรกของการ Build ช่อง โมลงคลิปทุกวัน และได้หนึ่งล้านวิวทุกวัน แต่ตอนนั้นเรายังมีเวลาทำ เพราะแค่เรียนหนังสือกับทำคอนเทนต์ แต่ทุกวันนี้ต้องทำงานอื่นไปด้วย ความสม่ำเสมอในการลงคอนเทนต์เลยเริ่มลดลง”
มี Feedback ไหนจาก Followers ที่ประทับใจเป็นพิเศษ หรือสร้างการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ บ้าง
“ในช่วงแรก ๆ คอนเทนต์ย้อนยุคมักจะถูกใจผู้สูงอายุ เพราะเหมือนกับเราช่วยย้อนอดีตของเขาให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ดูแล้วรู้สึกคิดถึงเพลง คิดถึงเสื้อผ้า หรือภาพที่เขาคุ้นตาสมัยยังหนุ่มยังสาว”
“พอมาในระยะหลัง กลายเป็นว่าแฟนคลับช่องสยาโมส่วนใหญ่เป็นเด็กประถม ซึ่งโมก็ไม่รู้ว่าน้อง ๆ ตามมาจากคลิปไหนเหมือนกัน แต่โมรับรู้ Feedback จากการได้ไปเจอแม่เด็กบ้างหรือเจอกับตัวเด็ก ๆ เองบ้าง อย่างบรรดาแม่ ๆ ก็จะบอกว่า ลูกพี่ชอบสยาโมมาก พี่เขาเป็นตัวเองมากเลยนะแม่ ส่วนเด็ก ๆ เองก็จะมาคอมเมนต์ว่าชอบการแต่งตัวที่เหมือนคนสมัยก่อนจังเลย คนสมัยก่อนแต่งตัวสีสวย
“ดังนั้น ไม่ว่าจะต้องการผลโหวตหรือปั่นยอดวิว เด็กประถมพร้อมช่วยโมสุด ๆ รู้ไหมว่าโมชนะ TikTok Awards เพราะเด็กประถมเลยนะ (หัวเราะ) ช่วงนั้นเด็กปิดเทอมพอดี รวมถึงในตอนนี้ที่โมกำลังโปรโมทเพลง คอยพี่ที่ BTS ก็ได้เด็กประถมนี่แหละเป็นสื่อหลัก เขา Spin กันเอง กลายเป็นว่าตามโรงเรียนต่าง ๆ พูดถึงแต่เพลงของสยาโม ถือเป็นเทรนด์เด็กประถมตอนนี้เลยก็ว่าได้”
เล่าถึงที่มาของเพลง คอยพี่ที่ BTS หน่อยว่าเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
“เพลง คอยพี่ที่ BTS เป็นเพลงแรกที่ใช้ชื่อสยาโมเต็มตัว หลังจากที่ก่อนหน้านี้โมเคยไปร้องเพลงให้ศิลปินคนโน้นคนนี้มาบ้าง แต่ไม่ได้มีส่วนร่วมในการทำเพลงจริง ๆ จัง ๆ ในขณะที่เพลงนี้เป็นเพลงที่โมคิดคอนเซ็ปต์เอง คิดชื่อเพลงเอง โดยได้แรงบันดาลใจมาจากเพลง คอยรักที่สถานี ของแม่ผึ้ง - พุ่มพวง ดวงจันทร์โมอยากให้เพลงของตัวเองมีความแกล้ง ๆ เชย เลยปรับจาก คอยรักที่สถานี เป็น คอยพี่ที่ BTS”
“สำหรับแนวดนตรีตั้งใจให้เป็นแนว Funk มีกลิ่นอายยุค 70 ที่มีเพลงฮิตอย่างอาบาดีบี อาโบเดเบ (เพลง A-Ba-Ni-Bi ของ Izhar Cohen & Alpha Beta) ส่วนเนื้อเพลงแต่งโดยพี่เพียว - คณิน วัฒนภาเกษม เป็นรุ่นพี่ที่ศิลปากรและเป็นคนเดียวกับที่แต่งเพลง ทางผ่าน ซึ่งได้หลายร้อยล้านวิวอยู่ในขณะนี้”
“เพลง คอยพี่ที่ BTS เป็นเพลงแรกจาก 1 ใน 4 เพลงของโปรเจ็กต์ที่โมทำกับ Sony Music Thailand หลังจากปล่อยเพลงไปก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาก คงต้องเริ่มทำเพลงที่สองเร็ว ๆ นี้แล้วค่ะ”
รู้สึกยังไงบ้างกับการได้มีเพลงเป็นของตัวเอง
“ดีใจมากค่ะ ไม่คิดว่าจะได้ทำเพลงแล้วเหมือนกัน คิดว่าจะได้เป็น Content Creator อย่างเดียวไปแล้ว แต่กลายเป็นว่าตลอดปี 2567 โมได้ทำงานเกี่ยวกับเพลงเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเล่น Music Video เพลง บุษบา ของเมนทอล ซึ่งโมคิดว่าเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้มีโอกาสขยับเข้าใกล้วงการเพลงมากขึ้นอีกครั้ง ดีใจที่ Feedback ของเพลง คอยพี่ที่ BTS ดีมาก เหมือนได้เติมเต็มความฝันวัยเด็กจริง ๆ”
ความฝันวัยเด็กของคุณคืออะไร
“โมอยากเป็นคนดัง อย่างที่บอกว่าโตมากับการดูโทรทัศน์ เห็นดาราคนนั้นคนนี้ก็อยากดังแบบเขา แต่สำหรับคนดังที่โมชื่นชอบเป็นพิเศษ ก็คือ แม่ผึ้ง - พุ่มพวง ดวงจันทร์ ชอบจากเพลงที่พ่อเปิดให้ฟังและหัดให้เราร้องตาม โมใช้เพลงของแม่ผึ้งในการประกวดร้องเพลงตั้งแต่ ป. 1 พอโตขึ้น มีโอกาสได้ดูหนังเรื่อง พุ่มพวง ที่รับบทโดย เปาวลี พรพิมล เลยได้เห็นเบื้องหลังชีวิตและพัฒนาการของแม่ผึ้งที่เดินทางจากบ้านนอกเข้ากรุงเทพฯ โมเองก็มีชีวิตแบบนั้น แม่ผึ้งจึงเป็นบุคคลต้นแบบที่โมนับถือและยึดถือ ตั้งใจที่จะประสบความสำเร็จแบบนั้นให้ได้”
“โมไม่เคยเรียนร้องเพลงเลย อาศัยว่าคุณพ่อเป็นคนชอบฟังเพลง พ่อเป็นช่างซ่อมรถเลยชอบเปิดเพลงฟังตอนทำงาน เขาชอบเปิดเพลงของ พี่ต่าย อรทัย, แม่ผึ้ง - พุ่มพวง ดวงจันทร์, พี่ฝน - ธนสุนทร ฯลฯ คุณพ่อร้องเพลงเพราะเลยเป็นคนสอนให้โมกับน้องชายร้องเพลงลูกทุ่งลูกกรุงมาตั้งแต่เด็ก ๆ เราสองคนเคยไปแข่ง The Voice Kids พร้อมกัน น้องชายได้เข้ารอบลึกกว่าโม เขาได้ที่ 3 The Voice Kids แต่ตอนนี้น้องชายของโมไม่ค่อยร้องเพลงแล้ว กลายเป็น Editor ทำงานอยู่หลังคอมพิวเตอร์แทน”
“โมชอบร้องเพลงลูกทุ่ง เพราะมีรายละเอียดที่ร้องยากกว่าเพลงป็อบ เรารู้สึกว่าตัวเองร้องเพลงลูกทุ่งได้ดี เวลาไปประกวดร้องเพลงเลยใช้เพลงลูกทุ่งประกวดเสมอ จริง ๆ โมก็ชอบฟังเพลงป็อบเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นเพลงแนวที่ร้องแล้วเรามีความสุข และรู้สึกว่าตัวเองร้องเก่งจังเลยก็ต้องเป็นเพลงลูกทุ่ง เวลาร้องจะรู้สึกสะใจกว่า เสียงเต็มกว่า ได้เอื้อน มีลูกคอ และเป็นที่จดจำจากเวที The Voice ว่า คนนี้คือแตงโมที่ถนัดร้องเพลงไทยเดิม”
“โมเป็นเด็กที่ทำกิจกรรมหนักมากทุกปี เลยไม่ค่อยได้ไปทัศนศึกษากับเพื่อน ไม่ค่อยได้อยู่ในห้องเรียน เพราะต้องไปแข่งตลอด โมเป็นเด็กที่ไม่ค่อยได้อยู่กับเพื่อนเท่าไร อยู่กับคุณครูตลอดก็เลยติดความวินเทจมามั้งคะ (หัวเราะ) อาจจะเกี่ยวกันก็ได้ เพราะบางทีเราก็ไม่ค่อยทันเพื่อนเรื่องเทรนด์ เขาชอบแนวเกาหลีกัน ส่วนเราก็ไปเข้าใจเทสต์ที่ผู้ใหญ่ชอบเสียมากกว่า”
เหตุการณ์ไหนในชีวิตคือภาพอดีตที่ยังชัดเจนในความทรงจำของสยาโม
“โมมองเห็นภาพตัวเองตอนย้ายจากกระบี่มาอยู่ห้องเช่าเล็ก ๆ แถวเทเวศร์ เพื่อมาเรียนต่อมัธยมปลายที่โรงเรียนราชวินิตมัธยม เนื่องจากทางบ้านมีปัญหา คุณพ่อกับคุณแม่แยกทางกัน โมเลยตัดสินใจขึ้นมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ คนเดียว เป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ต้องลากกระเป๋าเดินทางข้ามถนนตรงอนุสาวรีย์ชัยฯ ขึ้นรถเมล์ ตามหาหอพัก สมัครเข้าโรงเรียน โมทำทุกอย่างเองคนเดียว มองย้อนกลับไปตอนนั้นโมอายุ 15 ปีเองนะ รู้สึกสงสารตัวเองมาก แต่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตก็ทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นมาก ทั้งหมดเกิดจากความทะเยอทะยานอยากจะเป็นเด็กกรุงเทพฯ เพราะจากประสบการณ์ที่เคยเข้ากรุงเทพฯ มาบ้างสมัยมาประกวด The Voice Kids ทำให้มีโอกาสเห็นความเจริญที่แตกต่างกันระหว่างเด็กกรุงเทพฯ กับเด็กต่างจังหวัดอย่างเรา ทำไมเขาถึงดูทันสมัย หน้าตาดี มีครูสอนร้องเพลง เรารู้สึกว่าเขามีโอกาสจังเลย เราเลยต้องเดินเข้าหาโอกาสด้วยตัวเอง”
คุณมองว่าตัวเองเป็นคนมีความมุ่งมั่นมากน้อยแค่ไหน
“โมคิดว่าตัวเองมีความทะเยอทะยานมากกว่า ย้อนกลับไปเรื่องที่ชอบดูทีวีมาตั้งแต่เด็ก โมเลยใช้ละครใช้สื่อนำพา เมื่อก่อนเราอยู่ต่างจังหวัด สิ่งที่ได้เห็นในทีวีก็คือ คนนั้นไปขึ้นคอนเสิร์ต คนนี้เป็นดารา เราอยากให้ชีวิตเราเป็นแบบนั้น อยากเป็นดารา อยากเป็นคนดัง โมเลยมีเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่าอยากทำอะไร”
“โมเคยวิเคราะห์ตัวเองเหมือนกันว่า ไม่ว่าโมจะอยู่ในสังคมไหน โมจะมองไปยังสิ่งที่อยู่เหนือกว่าเราในตอนนั้น แล้วลองดูซิว่าเราจะถีบตัวเองไปสู่อีกเลเวลนึงในทุก ๆ สเตตัสของชีวิตได้ไหม ตอนนี้จะต้องดีกว่าเมื่อก่อน อย่างทุกวันนี้โมก็กำลังมองหาสิ่งที่ดีกว่าตอนนี้ ขยับชีวิตขึ้นไปเรื่อย ๆ”
ในความทะเยอทะยานมีความเหนื่อยปะปนอยู่ด้วยไหม หรือเต็มไปด้วยความสนุก
“โมว่าโมสนุกนะ ไม่ได้รู้สึกท้อมากนัก อยากเอาชนะตัวเองมากกว่า”
เวลาไปแข่งแล้วแพ้ หรือเจอความผิดหวังมีวิธีจัดการจิตใจตัวเองอย่างไร
“เมื่อก่อนโมประกวดร้องเพลงบ่อยมากและแพ้ก็บ่อย เวทีไหนที่เราทำพลาดจริง ๆ ก็จะรู้สึกเสียใจว่าทำไมทำได้ไม่ดีเหมือนที่ซ้อมมา แต่ถ้าเวทีไหนแพ้ทั้ง ๆ ที่เราทำเต็มที่แล้ว ก็จะรู้สึกเฉย ๆ แต่พอโมได้มาเรียนด้านธุรกิจดนตรีและบันเทิง ทำให้มีโอกาสได้ลองเป็นคนจัดประกวดเอง ลองทำรายการต่าง ๆ เอง จึงเหมือนกับได้ถอยออกมามองว่าจริง ๆ แล้วการประกวดไม่ใช่ทุกอย่าง เป็นแค่พิธีการอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นเฉย ๆ ก็เลย Deal กับความเป็นจริงได้มากขึ้น จากนั้นก็ปล่อยผ่าน ชิลเลยค่ะ”
จากความสำเร็จต่าง ๆ ในปีนี้ วางแผนในอนาคตไว้อย่างไรบ้าง
“ตอนนี้โมมองภาพที่ใหญ่ขึ้น อยากวางแผนให้เป็นระบบมากขึ้น โมเพิ่งเปิดบริษัท สยาโม จำกัด ขึ้นเมื่อเดือนมกราคม 2567 แต่ปีนี้โมยังเป็น CEO ที่ต้องทำงานทุกอย่างด้วยตัวเอง ด้วยความที่ทุกงานต้องใช้ความเป็นตัวเองสูง ดังนั้นถ้าให้คนอื่นทำก็ไม่ใช่ลายเซ็นของเรา ทำให้โมยังต้องร้องเอง ถ่ายเอง พูดเองอยู่ ซึ่งในอนาคตถ้าเป็นไปได้ โมอาจจะทำแบรนด์สินค้า หรือเป็นเอเจนซี่ ทำ Marketing โฆษณาที่มั่นคงและให้คนอื่นทำงานได้ โดยที่ไม่ต้องมีเรารันทุกงานด้วยตัวเอง”
“ปีนี้เป็นปีที่สนุกมาก เหนื่อยมาก ทำงานเยอะมาก แต่ทุกงานล้วนดีต่อใจ ปีนี้โมได้ทำงานหลากหลายมาก ทั้งแสดง Music Video ทำเพลงของตัวเอง ได้แสดงภาพยนตร์เรื่อง มานีมานะ The Movie ที่จะฉายในช่วงวันเด็กปีหน้า และได้เล่นละครเวทีเรื่อง แผลเก่า เดอะ มิวสิคัล ของดรีมบอกซ์ มีกำหนดแสดงในเดือนกุมภาพันธ์ 2568”
เล่าถึงสยาโมในภาคของการเป็นนักแสดงให้เรารู้จักหน่อย
“จริง ๆ แล้วการแสดงในภาพยนตร์เรื่อง มานีมานะ The Movie ถือเป็นการแสดงครั้งแรกในชีวิต เพราะเปิดกล้องก่อนจะได้เล่น Music Video เพลง บุษบา เสียอีก ในเรื่องนี้โมรับบทเป็นครูไพลิน ซึ่งก็เป็นตัวละครที่อยู่ในบทเรียน ร่วมแสดงกับน้อง ๆ นักแสดงเด็กที่มารับบทเป็นมานะ มานี ปิติ ชูใจ เป็นบรรยากาศการทำงานที่น่ารักดีค่ะ โมจำได้ว่าตัวเองก็น่าจะทันได้เรียนเรื่อง มานีมานะ ตอนป. 1 เขายังให้อ่านบทเรียนนี้อยู่นะคะ จำได้ว่า ตา ไป นา อะไรประมาณนี้ เลยพอจะรู้จักอยู่บ้าง ส่วนคุณพ่อกับคุณแม่ได้เรียนแน่นอน บทเรียนนี้อยู่ในความทรงจำของคนรุ่นนั้นมาก ๆ โมคิดว่าด้วยความที่เป็นเรื่องราวของยุคเก่า และลุคของเราเหมาะสม ผู้กำกับก็เลยเลือกโมให้รับบทครูไพลิน”
“ตอนแรกกังวลมาก เพราะไม่เคยเรียนการแสดงมาก่อนและไม่มั่นใจด้วย แต่ด้วยความที่โมขี้เกรงใจ ไม่ค่อยปฏิเสธใคร แม้บางอย่างจะไม่อยากทำก็มักจะรับปากไว้ก่อน เพราะอยากให้อีกฝ่ายสบายใจ ซึ่งก็เป็นทั้งข้อดีและข้อเสียนะคะ แต่อย่างน้อยเราได้ลองลงมือทำไปก่อน สุดท้ายแล้วถ้างานออกมาดีก็จะเป็นผลงานอีกชิ้นของเรา”
“ส่วนการได้แสดงละครเวทีเรื่อง แผลเก่า เดอะ มิวสิคัล ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ดีมาก ๆ เพราะได้ร่วมงานกับนักแสดงรุ่นใหญ่ที่เป็นสายการแสดงจัด ๆ ไม่ว่าจะเป็นพี่เก้ง - เขมวัฒน์ เริงธรรม ที่มารับบทขวัญ รวมถึงพี่ต๊งเหน่ง - รัดเกล้า อามระดิษ, อาปุ๊ - มนตรี เจนอักษร ฯลฯ กำกับโดย พี่ลิง - สุวรรณดี จักราวรวุธ ช่วงนี้โมเลยต้องเรียนการแสดงสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง และไปซ้อมละครเวทีบ่อยมากค่ะ”
คุณคิดว่าชื่อ ‘สยาโม’ ให้อะไรกับชีวิตคุณบ้าง
“ต้องเล่าก่อนว่า สยาโม เกิดจากการเอาคำแรกของชื่อจริง คือ สยาภา มาผสมกับชื่อเล่นคือ แตงโม จากนั้นก็ใส่ความหมายเข้าไปว่า สยาโม หมายถึง สยามโมเดิร์น เพราะเราอยากนำเสนอความเป็นไทยจากมุมมองของคน Gen ใหม่ หลังจากที่สยาโมสามารถทำให้ผู้คนจดจำในฐานะนักสร้างเรื่องราวย้อนยุคให้กับคนสมัยใหม่ได้แล้ว โมก็ค่อย ๆ สอดแทรกเรื่องของการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทยให้คนรุ่นใหม่ จนทำให้สยาโมน่าจะเป็นหนึ่งใน Content Creator ที่คนทุกวัยสามารถเสพคอนเทนต์ในช่องนี้ได้ และสร้างคุณค่าให้กับคนทุกวัยในแง่มุมที่ต่างกันออกไป โดยจะคงไว้ซึ่งความย้อนยุคและความเป็นไทยต่อไป”
คุณคิดว่าทำไมเรื่องราวในยุคเก่าถึงมีมนต์ขลังสร้างความสุขให้คนในยุคปัจจุบัน
“ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเพลง แฟชั่น หรืออะไรก็ตามมักมีวัฏจักรที่ต้องวนกลับมาเป็นเทรนด์อีกครั้ง กลิ่นอายของวันวานที่หลงเหลืออยู่ตามภาพยนตร์หรือสื่อต่าง ๆ ทำให้คนรุ่นใหม่ที่แม้จะเกิดไม่ทันยุคนั้น แต่พอได้เห็นเรื่องราวในอดีตที่แปลกไปจากสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ต่างก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าบรรยากาศของสมัยก่อนนั้นดีกว่าและน่าอยู่กว่าตอนนี้ นั่นคือเสน่ห์ของ Nostalgia หรือความรู้สึกถวิลหาอดีตที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน เพราะอดีตเป็นสิ่งที่น่าโหยหาและน่าตื่นเต้นกว่าชีวิตปกติในปัจจุบันเสมอ”
ติดตาม ‘สยาโม’ ได้ที่
Facebook : สยาโม
TikTok : sayamo_ss
Youtube : สยาโม