เปิดบันทึก 'เนิฟ - บุญมนัสสวัสดี' ที่สนุกกับทริปชวนแม่เที่ยวในแบบแบ็คแพ็กเกอร์

18 Apr 2023 - 10 mins read

Better Life / People

Share

การจัดทริปครอบครัวเดินทางไปเที่ยวต่างจังหวัดหรือต่างประเทศไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่

 

ยิ่งในสมัยนี้ที่เทคโนโลยีต่าง ๆ ช่วยอำนวยความสะดวกในการวางแผนท่องเที่ยวได้สะดวกสบายทุกรูปแบบ จะจองตั๋วเครื่องบิน ที่พัก เช่ารถ เช่าเรือ เหมาโบกี้รถไฟ หรือจะไปเยือนพิกัดสุดแหวกแค่ไหนใน Google Earth ก็เลือกออกแบบแผนการเดินทางได้ไม่ซ้ำกัน

 

แต่การจะชวนบุพการีวัยเกษียณสะพายเป้สัมภาระหนักร่วมสิบกิโลไปนอนค้างอ้างแรมตามสนามบิน กินมังกรโคโมโดผัดกระเทียม เดินเท้าขึ้นภูเขา เลาะตะเข็บเมืองตามหาสตรีทอาร์ตตามตรอกซอกกำแพงต่าง ๆ ฯลฯ ดูจะไม่ค่อยมีลูก ๆ บ้านไหนเขาทำกัน ยกเว้นก็แต่ เนิฟ – บุญมนัสสวัสดี ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา นักเขียนเจ้าของผลงานหนังสือท่องเที่ยวขนาดเขื่องจำนวน 2 เล่ม อย่าง Wall Street Journey และ ทัวร์คนบาปกับคำสาปฟาโรห์ ที่สนุกกับการชวนคุณแม่ (หรือในชื่อที่นักอ่านคุ้นตาคือ คุณนายดวงเดือน) ออกเดินทางเพื่อไปเจอเซอร์ไพรส์ระหว่างทางอยู่บ่อย ๆ

 

บ่อยถึงขั้นที่พี่ชายบังเกิดเกล้าของเธออย่าง เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม น้าเน็ก ต้องออกโรงโวยวายน้องสาวที่มักพาแม่ไปตกระกำลำบากอยู่หลายทริป กว่าที่เขาจะชิน

เนิฟ บุญมนัสสวัสดี กับ คุณแม่ดวงเดือน ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา

 

วีรกรรมทั้งหลายที่เนิฟพาแม่ไปสนุกกับการเผชิญอุปสรรคระหว่างการเดินทางตามล่าหาสตรีทอาร์ตบนกำแพง ตั้งแต่ปีนัง ลงไปเกาะบอร์เนียว วกขึ้นเหนือไปถึงไต้หวันและญี่ปุ่น สามารถตามอ่านกันแบบเต็ม ๆ ได้ในเล่ม Wall Street Journey ส่วนการเดินทางไปเที่ยวอียิปต์กับทัวร์ครั้งแรกในชีวิตที่วุ่นวายและเจอปัญหายุบยับเสียยิ่งกว่าตอนไปเที่ยวด้วยตัวเอง ก็ควรค่าแก่การสัมผัสทุกอรรถรสด้วยสายตาของคุณเองในเล่ม ทัวร์คนบาปกับคำสาปฟาโรห์

 

สำหรับบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้จะว่ากันด้วยเรื่องอินเนอร์ในการควงแม่เป็นบัดดี้การเดินทางของลูกสาว  เพราะเอาเข้าจริงเธอเองก็เพิ่งหัดจองตั๋วเครื่องบินและที่พักตอนที่ดำริจะไปเที่ยวกับแม่ เพราะเนิฟเองไม่ค่อยมีโอกาสได้ออกเดินทางไปไกลจากอ้อมอกพ่อแม่มาแต่ไหนแต่ไร ด้วยความที่เติบโตมากับการศึกษาแบบ Home School ตั้งแต่ 7 ขวบจนจบปริญญาตรี เนิฟจึงมีพ่อเป็นครูสอนด้านวิชาการต่าง ๆ ส่วนแม่รับหน้าที่อบรมทักษะสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต และบ่อยครั้งที่คุณครูสังกัดโรงเรียนพ่อแม่พา ด.ญ. บุญมนัสสวัสดี ผู้มีอายุห่างจากพี่ชายทั้งสองคนเกิน 20 ปี ออกไปทัศนศึกษาตามจังหวัดต่าง ๆ ในประเทศไทย

 

การที่เนิฟเติบโตในรั้วบ้านจึงมีแม่เป็นเหมือนเพื่อนสนิทไปโดยปริยาย ดังนั้น หลังจากที่พ่อโกอินเตอร์ (เป็นศัพท์ที่ลูก ๆ บ้านนี้ใช้กันบ่อยครั้งตามบทสัมภาษณ์ต่าง ๆ เวลาเล่าถึงคุณพ่อที่จากไป) ลูกสาวผู้แอบสังเกตมาตลอดว่าแม่ที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนมาทั้งชีวิต ดูน่าจะอยากออกเดินทางท่องโลก เพราะแม่ชอบดูสารคดีท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ของประเทศต่าง ๆ เป็นชีวิตจิตใจ

 

ลูกสาวคนสุดท้องของบ้านจึงแอบตั้งปณิธานไว้เงียบ ๆ ในใจว่า เมื่อถึงวันที่พร้อมในวัยที่ใช่ บุญมนัสสวัสดีจะพาแม่ออกไปทัศนศึกษาทุกมุมของโลกใบนี้ด้วยกัน

 

สัญญาณเริ่มต้นแห่งการออกเดินทาง

 

“วิธีการใช้ชีวิตในแบบที่เราเติบโตมากับการที่พอเราโตขึ้นแล้วพาแม่ไปเที่ยว เนิฟว่ามันก็สัมพันธ์กันนะ เพราะจริง ๆ แล้วนอกจากการพาไปทัศนศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องพาลูกไป แต่ถามว่าโดยส่วนตัวแล้วพ่อชอบไปไหนไหม พ่อไม่ได้ชอบเดินทาง ไม่ได้ชอบไปเที่ยว เพราะช่วงยังหนุ่มเขาเป็นคนทำงานที่บ้างานมาก ตั้งอกตั้งใจทำงานไม่ยอมไปไหน ชีวิตผูกติดอยู่กับการบริหารลูกน้องบริหารฟาร์ม ดูแลกิจการต่าง ๆ พ่ออยู่จนถึงเนิฟอายุ 15-16 ปี หลังจากนั้นพ่อก็โกอินเตอร์ไปในที่สุด เสียดายเหมือนกันที่ลูกสาวเกือบเรียนจบแล้ว แต่พ่อไม่ทันได้เห็น

 

“ทั้งหมดทั้งมวลที่เล่ามาก็หมายความว่า พ่อเองไม่ค่อยได้พาแม่ไปไหน และเราพอจะมองออกว่าแม่อยากใช้ชีวิต อยากออกไปเห็นโลก เขาแค่บังเอิญเป็นแม่ประเภทที่ไม่ได้เรียกร้องว่าฉันอยากไปเที่ยว เธอต้องจัดทริปให้ฉันนะ เขาก็รู้ว่าบางทีตอนนี้ลูกอาจจะยุ่ง อาจไม่มีเวลา หรือเหตุผลอะไรก็ตาม เขาเลยดูรายการสารคดีช่อง National Geographic หรือ Discovery ไปพลาง ๆ แล้วก็มักจะรำพึงว่า ดีเนอะ ถ้าได้ไปเดินเที่ยวอยู่แถวนั้น แต่ก็ไม่รู้จะไปยังไงเนอะ ดูไปลำบาก อย่างมาชูปิกชู ซึ่งเป็นสถานที่ที่บางทีเราคงได้แต่ดูจากสารคดีแหละ แต่พอแม่พูดแบบนั้น เราก็จะรู้สึกได้ทันทีว่า แม่คงอยากไปเที่ยวมั้ง นี่น่าจะเป็นแผนอย่างหนึ่ง (หัวเราะ)

 

“เนิฟเลยตั้งใจเอาไว้ว่าอยากเป็นคนที่พาแม่ออกไปเที่ยว อยากทำในสิ่งที่พ่อไม่ได้ทำ เพราะตอนพ่ออยู่กับแม่ พ่อเป็นหัวหน้าครอบครัว ถ้าพ่อไม่ได้ไปไหน แม่ก็ไม่ได้ไปไหนเหมือนกัน แต่ตอนนี้เรามีแม่อยู่คนเดียว เราไม่อยากเดินทางท่องเที่ยวเองตามลำพังแล้วส่งรูปกลับมาให้แม่ดูทางไลน์ เขาก็จะได้ดูรูปแห้ง ๆ ไม่ต่างอะไรกับการกดดูสารคดีท่องเที่ยวดี ๆ นี่เอง

 

”ก่อนหน้านั้น เนิฟเองก็มัวแต่หัวหกก้นขวิดอยู่กับการเรียน เพราะการเรียนแบบโฮมสคูลถือว่าเรียนหนักเหมือนกัน แต่ก็เป็นคนชอบอ่านหนังสือชอบเรียนหนังสืออยู่แล้ว เลยไม่ได้มีปัญหาอะไร จึงตั้งใจเรียนให้จบ สำเร็จ Standard ที่คน ๆ นึงควรจะทำ หลังจากนั้นเราก็ทำงาน เริ่มจากเป็นโกสต์ไรเตอร์ให้พี่เน็กที่ไทยรัฐอยู่พักนึงแล้วก็นำงานเขียนรายสัปดาห์เหล่านั้นที่ทำอยู่ประมาณ 3 ปีไปรวมเล่มพิมพ์กับสำนักพิมพ์อะบุ๊ก ออกมาเป็นหนังสือ โลกหมุนรอบตัวงูเล่ม 1 กับเล่ม 2 และอีกเล่มคือ อย่าหาว่าน้าสอน ซึ่งการเป็นคอลัมนิสต์ส่งเสริมให้เรามีโอกาสได้เดินทาง ได้ใช้ชีวิต แล้วเอาเรื่องเหล่านั้นกลับมาเขียน ซึ่งเป็นงานที่สามารถพาแม่ไปเที่ยวด้วยกันได้ แถมยังได้ตังค์ด้วย ดูลงตัวดี เลยเริ่มต้นพาแม่ออกเดินทาง

 

ซ้อมเที่ยวในประเทศ

 

“ก่อนจะออกไปเที่ยวต่างประเทศ เรามีการซ้อมเดินทางภายในประเทศก่อน และเนื่องจากที่บ้านชอบนั่งรถไฟ ด้วยความที่พยายามจะมองโลกในแง่ดีว่ารถไฟไทยก็ไม่ได้แย่นะแม่ ไปนั่งรถไฟเที่ยวกันไหม จึงเกิดทริปนั่งรถไฟไปลพบุรีบ้าง อยุธยา กาญจนบุรี เชียงใหม่บ้าง ที่งงสุดคือ นั่งรถไฟไปหัวหิน ซึ่งเขียนในตารางว่าขาไปใช้เวลา 2 ชั่วโมง และพอไปถึงก็จะมีรถไฟให้นั่งกลับได้ แต่เขาไม่ได้บอกว่าหมายถึงการนั่งกลับในขบวนเดียวกับที่นั่งไปนั่นแหละ (หัวเราะ) ก็คือยังไม่ทันได้ลงไปเห็นสถานีหัวหินเลยว่าหน้าตาเป็นยังไงก็ต้องนั่งรถไฟกลับแล้ว ไม่อย่างนั้นต้องนั่งรถตู้กลับเอง เท่ากับว่าทริปนั้นมีเวลาอยู่หัวหินสิบนาที

 

(แม่) “ต้องตบตีกับยัยคนที่มายืนบังป้ายหัวหิน เมื่อไรจะถ่ายเสร็จซะที แม่จะถ่ายรูปคู่กับป้ายบ้าง (หัวเราะ)”

เนิฟกับแม่ที่อรัญประเทศ

 

“จริง ๆ แล้วทริปเที่ยวเมืองไทยที่ประทับใจก็มีอยู่หลายที่ เช่น เราเคยลองสมมติชีวิตตัวเองเป็นนักท่องเที่ยวฝรั่งแบ็คแพ็กเกอร์นั่งรถไฟไปนอนเกสต์เฮาส์ที่ลพบุรี ได้สัมผัสเสน่ห์ของเมืองเก่า มีบ้านเจ้าพระยาวิชัยเยนทร์ให้เยี่ยมชม ได้เดินเล่นรอบ ๆ เมือง แต่หลังจากสนับสนุนการท่องเที่ยวในเมืองไทยได้พักใหญ่ก็พบว่า เที่ยวเมืองไทย ไม่ไปไม่เหนื่อย (หัวเราะ) เลยชวนแม่ว่า เราไปเที่ยวต่างประเทศกันดีไหม”

 

“ตอนนั้นเนิฟชอบงานสตรีทอาร์ตของ Alex Face เลยพยายามตามหาดูว่าเจ้าตัวสามตาหน้าขน ๆ ที่เราเจออยู่บนกำแพงข้างคอนโดฯ ว่ามีที่ไหนอีกบ้าง ซึ่งก็พบว่างานเจ๋ง ๆ มักอยู่ในต่างประเทศ และใกล้บ้านเราแถวปีนังก็มีงานของ Alex Face อยู่เยอะเหมือนกัน ก็เลยดำริที่จะพาแม่ไปดู ซึ่งแม่ก็ไม่ได้อินหรอก ขอแค่ได้เปลี่ยนที่กิน ที่นอน ได้เปลี่ยนบรรยากาศ ได้ไปสนามบิน แค่นี้ก็คือสนุกแล้ว แม่บอกว่าการเที่ยวของแม่ แค่ได้ไปสัมผัสอากาศหนาว ๆ ได้กลิ่นสนามบินก็รู้สึกว่าได้เที่ยวแล้ว”

 

(แม่) “แต่การจะไปปีนัง ถ้าบินไปก็จะสบายไปหน่อย เราเลยนั่งรถไฟขบวนด่วนพิเศษทักษิณารัถย์จากกรุงเทพฯ ไปลงหาดใหญ่ เป็นรถขบวนใหม่เอี่ยม แอร์หนาวเย็น”

 

เนิฟกับแม่ที่อียิปต์

 

“พอได้ไปปีนังจึงพบว่าปีนังเดินเพลิน เดินสบาย ซึ่งแม่เป็นคนชอบเดินอยู่แล้ว ดังนั้น แค่ได้ไปเดินในต่างประเทศที่มีฟุตบาทดี มีวิธีการจัดการกับต้นไม้ในเมืองที่ดี และแม้จะอยู่ทางใต้ แต่อากาศประเทศเขาดีมากเลย เราก็แฮปปี้แล้วส่วนภารกิจตามเก็บงาน Alex Face ก็ได้เจองานของเขาจำนวนนึง เหมือนเป็นงานตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ที่เขาเพิ่งลักลอบพ่นเลยเป็นงานสเกลเล็กที่ซุกซ่อนอยู่ตามกำแพงอยู่ในดงในพงต่าง ๆ รู้สึกภูมิใจเวลาหางานยากเจอ เป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง”

เนิฟกับแม่ที่ญี่ปุ่น

 

กินง่าย อยู่ง่ายเข้าไว้เป็นดี

 

“วิธีเดินทางของเราสองแม่ลูก คือ เลือกที่นอน ที่กิน และการเดินทางที่ค่อนข้างจะเซฟชีวิตสักหน่อย แต่ก็ยังพอมีความลำบากอยู่บ้าง เช่น การที่แม่อาจจะต้องแบกเป้หนักสิบกิโลบ้าง เพราะแม่ยืนยันที่จะไม่ใช้กระเป๋าลาก เนื่องจากไม่อยากโหลดกระเป๋าเพราะต้องเสียเวลารอนาน อีกทั้งเราสองคนยังเป็นมนุษย์ผู้หญิงที่เก่งมากในแง่ของการยัดสมบัติยังชีพประมาณสิบวันลงในเป้ใบเดียว ทำไมต้องภายในสิบวัน? เพราะแม่ไม่ชอบเที่ยวนานกว่านี้ จะเริ่มเบื่อ คิดถึงบ้าน และเหนื่อยเกินไป

 

“อีกหนึ่งประสบการณ์ที่เราจะได้จากการไปเที่ยวต่างประเทศก็คือ ถ้าเราไปประเทศแปลก ๆ ให้ทำใจกว้างเรื่องกินเข้าไว้ บางคนที่ชอบอยู่แต่ใน Comfort Zone การไปตกอยู่ในประเทศอื่น ๆ อาจจะลำบาก เพราะไม่มีทางที่คุณจะได้กินอาหารที่ตัวเองคุ้นเคย เช่น ตอนที่เราไปบอร์เนียว คนท้องถิ่นที่เป็นทายาทชนเผ่าอีบันซึ่งขึ้นชื่อเรื่องล่าหัวคน ก็เอาน้ำพริกทุเรียนดิบกับแกงในกระบอกไม้ไผ่ที่รสชาติคล้ายแกงเลียงมาให้กิน ซึ่งเป็นอาหารชนเผ่าแบบดั้งเดิม เราก็ต้องกิน

เนิฟกับแม่ที่ญี่ปุ่น

 

“แต่ที่ปังที่สุดคืออาหารรับแขกบ้านแขกเมือง ซึ่งมันเริ่มต้นจากการที่พี่ชายคนโตของเนิฟ ซึ่งไปด้วยกัน ถามเพื่อนของเขาซึ่งเป็นเจ้าบ้านว่าบ้านนี้เมืองนี้มีมังกรโคโมโดใช่ไหม เพื่อนบอกว่า มี อยากกินเหรอ ถ้าอยากกินก็กินได้นะ เพราะเป็นของที่เราจะเก็บเอาไว้ปรุงเสิร์ฟในกรณีที่มีแขกคนสำคัญมาเยือนบ้านเท่านั้น ซึ่งทางเราก็ปฏิเสธเสียงแข็งว่าแค่ถามถึงเฉย ๆ ไม่ได้แปลว่าอยากกินซะหน่อย (หัวเราะ) ปรากฏว่าเย็นวันนั้นเขาก็แบกมังกรโคโมโดตัวยาวหลายเมตรที่เพิ่งล่าได้มาโชว์ให้ดู ก่อนที่มันจะแปลงร่างเป็นมังกรโคโมโดผัดกระเทียม หน้าตาเป็นชิ้น ๆ ต่อน ๆ ยังมองเห็นความเป็นหนัง ความเป็นสีของมังกร จะไม่กินก็ไม่ได้ถือว่าไม่ให้เกียรติเจ้าของบ้าน เลยหลับหูหลับตากินเข้าไปแล้วซดเบียร์ตาม ไม่ต้องคิดอะไรมาก

 

“หลังจากนั้น เราก็ซ้อมไปต่างประเทศแบบอัปเกรดขึ้นมาอีกนิดนึง ด้วยการพาแม่ไปไต้หวัน ซึ่งเป็นการเดินทางกันสองคนทริปแรก เดินทางไปถึงสนามบินไต้หวันตอนห้าทุ่ม ครั้นจะต่อรถเข้าเมืองเพื่อเข้าห้องพักเลยก็ดูจะขาดทุนค่าห้อง เลยตัดสินใจนอนในสนามบินข้าง ๆ ร้านกาแฟสตาร์บัคส์ ซึ่งทำให้เราได้ความรู้ใหม่ว่า มันมีเว็บรวมพิกัดที่นอนในสนามบินต่าง ๆ ทั่วโลกชื่อ Sleeping in Airports ที่ค่อนข้างจะอัปเดตว่าควรนอนตรงไหนในสนามบินถึงจะปลอดภัย มีแสงสว่าง ไม่กีดขวางคนอื่น ฯลฯ ทักษะชีวิตพวกนี้เราจะได้มาก็ต่อเมื่อเราออกเดินทางในแง่ที่เป็นนักเดินทางจริง ๆ เนิฟกับแม่มักจะพูดเสมอว่าเราสองคนไม่ใช่นักท่องเที่ยว เพราะหลาย ๆ ครั้งเราไม่ได้ไปเที่ยวในที่ที่คนอื่นเขาไปกัน แล้วเราก็ไม่ได้ใช้ชีวิตสะดวกสบายอย่างที่หลาย ๆ คนเที่ยวกัน เช่น การพาแม่ไปนอนสนามบิน เป็นต้น

 

(แม่) “พอพี่เน็กรู้ว่าพาแม่ไปนอนสนามบินก็โวยวาย “เนิฟ! พาแม่ไปนอนสนามบินทำไม!” แต่แม่ก็รู้สึกสนุกดีนะ ไปก็ไป (หัวเราะ)”

แม่กับไกด์นำเที่ยวที่ตุรกี

 

“พี่ชายเขางานยุ่ง หน้าที่พาแม่ไปเที่ยวเลยเป็นหน้าที่ของน้อง เขาเลยนึกไม่ออกว่าควรจะปฏิบัติต่อแม่ยังไงเวลาพาแม่ไปเที่ยว เวลาแม่ไปเที่ยวกับพี่ชายจึงเป็นทริปกินหรู อยู่อย่างเทพ แต่เราคือคนที่อยู่กับแม่ทุกวัน เรารู้ว่าแม่ชอบอะไรลุย ๆ หน่อย ศักยภาพของแม่สามารถรับอะไร ๆ ได้มากกว่าที่แกคิด แกไม่รู้ใช่ไหมว่าความจริงแม่เขาแบกเป้สิบกิโลไหว แม่เดินได้ไกลกว่าที่แกคิด เขาไม่ได้แก่ขนาดนั้น นั่นคือสิ่งที่เราพยายามพิสูจน์ว่า แม่ที่แกจำได้ กับแม่ที่อยู่กับฉันมันคนละเวอร์ชันกัน หลัง ๆ พี่เน็กก็เข้าใจมากขึ้น แต่เพิ่งมาหายตกใจตอนทริปอียิปต์ ที่เขาได้รู้ว่าศักยภาพที่แท้จริงของแม่นั้น ถึก ทน เทพ แค่ไหน”

 

เดินทน งดช้อป ชอบขลุกอยู่ตามอู่อารยธรรม

 

“แม่คือนักเดินทางในแง่ที่ว่า แม่ไม่ช้อปอะไรเลย เก็บมาแต่ความทรงจำ แม่จะกิน ๆ ให้เต็มที่ตั้งแต่ที่นั่น แม่มีทักษะในการซื้อของกับคนท้องถิ่น แม้จะพูดอังกฤษกับเขาแล้วเขาไม่พูดอังกฤษตอบกลับมา เรียกว่าถึงจะคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่แม่ก็สามารถต่อราคาซื้อของได้ แต่แม่ไม่ชอปปิง ไม่ต้องซื้อน้ำหนักกระเป๋าอะไรใด ๆ เพิ่ม คนเดียวที่แม่ซื้อของฝากคือ ลุงแซม ซึ่งเป็นพ่อบ้านที่คอยดูแลบ้านและเลี้ยงหมาให้เวลาพวกเราไม่อยู่ เพราะถ้าไม่มีลุงแซมเราจะไปไหนไม่ได้ นอกเหนือไปจากนั้นแล้ว แม่จะตะลุยเที่ยว เก็บประสบการณ์ทุกอย่างด้วยตัวเอง”

 

“แม่แฮปปี้ในการอยู่ญี่ปุ่นกับไต้หวัน เพราะเดินสบาย อากาศดี ปลอดภัย แม่ยังพูดอยู่เลยว่าบางครั้งเวลาเราพาตัวเองไปอยู่นอกประเทศ เราจะได้มองย้อนกลับมาเห็นสภาพความเป็นอยู่ในประเทศเราเอง เราจะเข้าใจตัวเองในฐานะประชากรโลก ไม่ใช่ในฐานะประชากรประเทศ เนิฟเลยรู้สึกว่าความใจกว้าง ความเข้าใจในโลกนี้หลาย ๆ อย่าง ได้มาจากการเดินทางแบบนี้เหมือนกัน”

เนิฟกับแม่ที่อียิปต์

 

“หลังจากทริปเดินสบาย แม่ก็ยังคงดูรายการสารคดีอย่างต่อเนื่อง บวกกับดูหนังเรื่อง Troy แล้ววันนึงแม่ก็มาบอกว่า แม่รู้แล้วว่าประเทศต่อไปที่แม่อยากไป คือ ตุรกี เพราะมีความเป็นอู่อารยธรรมโลก มีสิ่งที่ควรค่าแก่การจะไปดู แม่ไม่ชอบไปเที่ยวตามสถานที่ที่จำลองขึ้นมา ซึ่งตุรกีเองก็ปลอดภัยแก่การไปเที่ยวกันสองคน เพราะไม่ได้เป็นประเทศมุสลิมจ๋า มีความเป็นลูกครึ่งระหว่างเอเชียกับยุโรป ที่สำคัญคือ แมวเยอะมาก หลังจากนั้นแม่ก็ชอบประเทศแขกมาก เลยไปดูไบกันต่อ รอบนี้ชวนเพื่อนสองคนพี่น้องที่พาคุณป้าไปด้วย ดูไบเป็นเมืองกลางทะเลทรายที่สะดวกสบาย มีตึกทำจากทองคำ มีรถไฟฟ้าเดินทางสะดวกสบาย ประชากรก็น้อย เดินแค่ 3-4 ก้าวก็เจอห้างสรรพสินค้าเต็มไปหมด เที่ยวสนุกในแง่ได้เห็นความต่างบ้านต่างเมือง

 

“ทั้งหมดที่ว่ามาเหมือนเป็นการซ้อมก่อนขั้นสุดคือ การไปอียิปต์ ที่คราวนี้เราอยากทดลองไปกับทัวร์ เพราะประเทศมันไกล ใช้ชีวิตลำบาก เสียงลือเสียงเล่าอ้างเกี่ยวกับบ้านนี้เมืองนี้ก็ไม่ค่อยดี บวกกับเพื่อนอีก 2 คนอยากไปด้วย เป็นทริปที่ตั้งต้นจากคน 4 คนแล้วไปจบที่ 22 คน เพื่อราคาต่อหัวที่ย่อมเยาลง ซึ่งทุกคนในทริปคิดว่าไปกับทัวร์แล้วจะสบาย หารู้ไม่ว่าลำบากสุดเท่าที่เคยเที่ยวมาทั้งชีวิต (หัวเราะ) แม่ยังบอกเลยว่า ที่ไปเที่ยวเองมาก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะลำบากเท่านี้เลย พอกลับจากอียิปต์ก็ยังทันได้พาแม่ไปชุบร่างที่ญี่ปุ่นอีกทริปก่อนจะโควิดจะระบาด และไม่ได้เที่ยวอีกเลยจนถึงตอนนี้”

เนิฟกับแม่ที่อียิปต์

 

จะต้องไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

 

“การที่ลูกจะพาพ่อแม่เที่ยวในฐานะคนจัดสรรก็ต้องดูธรรมชาติของลูกทัวร์ด้วย บังเอิญว่าเนิฟกับแม่อยู่ด้วยกันทุกวันจึงรู้เองโดยปริยายว่า นาฬิกาชีวิตของแม่เป็นประมาณไหน ลิมิตของแม่มีเท่าไร แม่เป็นคนตื่นเช้า ให้เที่ยวแต่เช้าได้ แต่ค่ำ ๆ ควรต้องพักได้แล้ว และระหว่างวันเราควรต้องมีร้านให้แม่ได้แวะนั่งพักขาบ้าง หาที่เย็น ๆ ให้เขานั่งตากแอร์สักแป๊บนึง

 

“มนุษย์ผัวเมียเวลาไปเที่ยวด้วยกันอาจจะมีโมเมนต์ทะเลาะกันบ้าง ในขณะที่เนิฟเที่ยวกับแม่ไม่เคยทะเลาะกันเลย เพราะแม่จะทิ้งตัว ทำตัวเป็นทัวร์บังเกิดเกล้า ลูกอยากให้กินอะไร นอนที่ไหน เดินไปทางไหน แม่โอเคหมด เพราะแม่ไม่รู้อะไรเลย (หัวเราะ) ตัวเราเองก็ได้เรียนรู้ไปด้วยว่าเราไม่ได้มาคนเดียว จะมาเอาแต่ใจในทุกสิ่งที่เราอยากทำเพราะเราทำไหวไม่ได้ ต้องเห็นแก่คนที่อยู่กับเราด้วย ซึ่งแม่เราเขาอาจจะใจสู้ แต่เขาอาจจะทำอย่างที่เราทำทุกอย่างไม่ได้ ก็ต้องยืดหยุ่น พบกันครึ่งทาง ไม่ทำให้แม่ตกระกำลำบากไปด้วย ซึ่งทั้งหมดที่ว่านี้ไม่รวมทริปอียิปต์ (หัวเราะ) 

 

“เนิฟพยายามไม่ทิ้งแม่ไว้ข้างหลัง หลาย ๆ ครั้งที่เราเห็นพ่อแม่เพื่อนหลาย ๆ คน ซึ่งบ้านเขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันนะ แต่ความต่างกันของเจเนอเรชั่นทำให้ในขณะที่คนรุ่นลูกเดินไปข้างหน้า พ่อแม่กลับถูกโหลดอยู่ข้างหลัง เนิฟอยากให้แม่อัปเดตเฟิร์มแวร์ความเป็นคนในยุคปัจจุบัน ที่สำคัญคือ ต้องอยู่ในระดับที่เขามีความสุขด้วย ซึ่งแม่เองก็พยายามเป็นคนที่อัปเดตเป็นเวอร์ชันใหม่อยู่เสมอเช่นกัน เขาให้ความร่วมมือในส่วนนี้ด้วย เราเลยมีความยินดีในการที่จะจูนหรือพูดภาษาเดียวกันกับแม่ให้ได้ด้วย วิธีการอยู่ด้วยกันของแม่กับเนิฟจึงสามารถที่จะไปในจังหวะเดียวกันได้

 

“อย่างเวลาไปเที่ยวไหนก็จะพยายามพาแม่ไปจอยกับเพื่อนเราด้วย แรก ๆ เนิฟก็จะสังเกตนะว่าแม่เราจอยไหมในการที่จะอยู่กับเพื่อน รวมทั้งเพื่อนด้วยที่จอยไหมกับการที่จะมีแม่ร่วมทริป ซึ่งบังเอิญว่าทั้งสองฝ่ายอยู่ร่วมกันได้อย่างพอดิบพอดี เลยทำให้แม่เป็นคนไม่เหงา เชื่อไหมว่าแม่เป็นคนไม่มีเพื่อนรุ่นเดียวกัน แม่เดินออกกำลังในหมู่บ้าน แต่ไม่คุยกับคนวัยเดียวกัน เขาบอกว่าคุยกับคนแก่แล้วไม่สนุก แม่ชอบคุยกับคนวัยเดียวกับลูก มันเป็นจังหวะชีวิตที่เขาแฮปปี้ดี เขาโอเคกับการจะอัปเดตความเป็นตัวเองอยู่เสมอ เลยอยู่ด้วยกันได้โดยที่เราไม่ต้องบังคับเขา ไม่อย่างนั้นหลาย ๆ ครั้งเราจะเห็นว่าลูกอาจจะอยากพยายามชวนพ่อแม่ไปสู่สังคมใหม่ ๆ แต่พ่อแม่ไม่จอย มันก็จะแลดูทุกข์ทนเสียเปล่า ๆ

 

“ในขณะที่เราสองคนแม่ลูกดูสนิทกันเหมือนเพื่อน แต่เราจะรู้เองว่ามีเส้นแบ่งที่จะต้องเกรงใจ ให้เกียรติ บ้านเราจะถือมากเรื่องสัมมาคารวะที่มีต่อพ่อแม่ เราจะไม่ล้ำเส้นในการพูดจาหรือวิธีการปฏิบัติตัวกับเขา เราจะไม่มีทางให้แม่ต้องเป็นฝ่ายรอ แม่ต้องเป็น First Priority แม่ต้องมาก่อนเสมอ เช่น ถ้าแม่โทรมาถามว่าจะกลับบ้านเมื่อไร ฝากซื้อของหน่อยได้ไหม เราจะตอบว่าได้ค่ะเท่านั้น ท่าทีประเภทที่ตอบว่า ซื้อเองไม่ได้เหรอ ยังไม่ว่าง เป็นมารยาทที่เราจะไม่ทำกับแม่หรือคนในครอบครัว

 

“ทั้งหมดที่เล่ามาเป็นสิ่งที่เนิฟอยากทำแทนพ่อ ถ้าไม่ติดว่ามีโควิดระบาด เรากำลังจะไปอิหร่าน และมีทริปที่จองตั๋วไปแล้วและต้องรีฟันด์กันอุตลุต คือ ออสเตรเลียกับจอร์เจีย และแม้เราอาจจะยังไม่ได้เดินทางอีกหนเร็ว ๆ นี้ แต่อย่างน้อยสิบปีที่ผ่านมาก็เป็นการอัดทริปท่องเที่ยวภายในระยะเวลาที่สั้นมาก แม่ได้เดินทางเยอะมากจริง ๆ”

SHARE

facebook
twitter
copy
Related articles / บทความที่เกี่ยวข้อง
Loading...