

‘เจแปน’ - ภาณุพรรณ จากคนเบื้องหลังสู่ดาวตลกผู้คว้าทุกโอกาสที่โลกเหวี่ยงมาให้
Better Life / People
23 May 2023 - 10 mins read
Better Life / People
SHARE
23 May 2023 - 10 mins read
“ให้ทายว่าผมมีกี่อาชีพ”
ชายหนุ่มตรงหน้ายิงคำถามอย่างอารมณ์ดี ซึ่งถ้าจะให้นับจริง ๆ เห็นทีสิบนิ้วก็คงจะไม่พอ
วันนี้ LIVE TO LIFE ชวนมาคุยถึงเส้นทางการทำงานของ เจแปน - ภาณุพรรณ จันทนะวงษ์ หรือ เจแปน หกฉากครับจารย์ เจแปนแก๊ง Buffet เจแปนชิงร้อยฯ เจแปนผู้เป็นทั้งดาวตลก นักแสดง พิธีกร อินฟลูเอนเซอร์ เป็นคนอายุน้อย ร้อยงาน และความจริงแล้ว… เขายังเป็นประธานบริษัทด้วย
เหมือนจะเป็นมุก แต่ไม่ใช่
เพราะเขาเป็นประธานบริษัทจริง ๆ นอกจากจะเฉิดฉายอยู่เบื้องหน้าแล้ว เจแปนยังเป็นผู้ก่อตั้ง iPAN Channel โปรดักชันเฮาส์ที่รับทำงานเบื้องหลัง ทั้งหนัง ซีรี่ส์ โฆษณา และรับผลิตรายการออนไลน์
ก่อนจะมาเป็นดาวตลกมากความสามารถไปที่ไหนฮาที่นั่น อย่างที่เรารู้จักกันทุกวันนี้ เจแปนเติบโตมาจากการทำงานเบื้องหลัง เป็นเด็กกองถ่ายตัวจริง ที่ผ่านมาแล้วทั้งงานกำกับ ครีเอทีฟ และเคยโด่งดังจากการทำช่อง YouTube Buffet Channel กับแก๊งเพื่อนตั้งแต่ครั้งยังเป็นนักศึกษา ม.กรุงเทพ ฯ
และไม่ว่าโลกจะเหวี่ยงเขาไปทางไหน แต่สิ่งที่ยังคงแน่วแน่อยู่เสมอคือความฝันที่เขาวาดไว้ตั้งแต่เด็ก งานทุกอย่างที่เขาทำในวันนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เขาไปสู่ความฝันนั้น ทุกอย่างในชีวิตของเจแปนในวันนี้จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่อย่างใด
“อยากเรียนนิเทศศาสตร์” เด็กชายภาณุพรรณ ชั้น ม.1 ตอบแบบนั้นเมื่อคุณครูถามว่าโตขึ้นอยากเรียนอะไร
“ตอนนั้นผมเปิด DVD ดูหนังเรื่อง Scooby-Doo แล้วเผลอนั่งทับรีโมต อยู่ ๆ เมนู Behind the Scenes ก็ขึ้นมา เลยเห็นเบื้องหลังการถ่ายทำทั้งหมด เห็นคนใส่ชุดเขียว ๆ เห็นกล้อง เห็นการจัดไฟ อ้าว มันไม่ได้ถ่ายที่จริงนี่นา มันอยู่ในฉากเขียวทั้งหมด เลยเป็นจุดเริ่มต้นของความสงสัยให้ไปหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตว่าต้องเรียนอะไรถึงจะเป็นแบบนั้นได้”
“ตอนนั้นเรารู้แค่ว่ามันคืออาชีพอะไร แต่ยังไม่รู้ว่าต้องเรียนอะไร วันหนึ่ง บังเอิญนั่งดูทีวีอยู่ที่บ้าน โฆษณาของ ม.กรุงเทพ ฯ ก็ขึ้นมา เราเลยได้รู้จักนิเทศศาสตร์ ที่สอนเกี่ยวกับเบื้องหลังการถ่ายทำภาพยนตร์ ถ่ายโฆษณา เลยจำคำนี้ไปพูดหน้าชั้นเรียน”
“ทุกคนในห้องงงว่ามันคืออะไร เพื่อนถามว่ามึงจะไปเป็นพระหรอ เพราะมันมีคำว่าเทศเหมือนกัน เราเลยบอกว่าไม่ใช่ เราอยากเป็นผู้กำกับ อยากทำงานเบื้องหลัง”
“จากตอนอายุ 13 ปัจจุบันอายุ 32 ผ่านมาเกือบ 20 ปีแล้ว เชื่อไหมว่าเข็มทิศของผมยังตรงเป๊ะอยู่เลย”
วัยเด็กของเด็กชายภาณุพรรณ
ผมเป็นคนกล้าแสดงออกมาตั้งแต่เด็ก ชอบเอนเตอร์เทน สนุก ร่าเริง ชอบอยู่หน้าชั้นเรียน หน้าเสาธง ชอบจับไมค์ ที่บ้านเป็นคนสนุกสนานก็เลยปลูกฝังให้เราเป็นคนกล้าแสดงออก กล้าร้องเพลงกับญาติ ๆ กล้าพูดจากับเพื่อน ๆ ด้วย
สมัยประถมฉายาของผมคือดาวตลกประจำกลุ่ม พอมัธยมต้นก็กลายเป็นดาวตลกประจำห้อง พอมัธยมปลายก็กลายเป็นดาวตลกประจำสายชั้น ผมเลยถามตัวเองว่าเราจะทำยังไงต่อกับความสามารถที่เรามี ก็ต้องเป็นดาวตลกระดับโรงเรียนสิ ผมเลยลงสมัครเป็นประธานคณะสีแล้วก็ได้รับเลือก 2 ปีซ้อนเพราะความตลกของผมนี่แหละ
จนเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยผมก็ปฏิญาณตนเลยว่าผมจะร่วมกิจกรรมทุกอย่างของเด็กปี 1 ตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่ามันต้องสนุก
ชีวิตของนักศึกษาภาพยนตร์ ม.กรุงเทพ ฯ ตอนนั้นเป็นอย่างไร
กิจกรรมก็ทำเต็มที่ เรียนก็เรียนเต็มที่ เพราะมันเป็นสิ่งที่เราชอบก็เลยรู้สึกว่าไม่ต้องพยายามมาก เหมือนคุณตื่นมาแล้วต้อง ล้างหน้า แปรงฟัน มันไม่ต้องพยายามทำหรอก มันกลายเป็นชีวิตประจำวันของผม
ผมเริ่มทำงานตั้งแต่ตอนเรียน มีแก๊งเพื่อนชื่อ Buffet เป็นแก๊งที่ใหญ่มาก มีประมาณ 30 คน จะมี 4-5 คนที่เป็นกระทรวงศึกษาธิการของกลุ่ม รู้หมดว่าต้องส่งงานวิชาไหน สอบเมื่อไหร่ คอยจัดตารางเรียนเช้า - บ่ายตั้งแต่วันจันทร์ถึงพฤหัสบดีให้ครบทุกวิชา แล้วเราจะเหลือเวลาว่างตรงกันทุกคนคือ วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ เราก็ไปรับงานข้างนอก
อีกส่วนหนึ่งก็คอยหางาน เรารับงานถ่ายทำต่าง ๆ ตอนนั้นเราก็เริ่มมีชื่อเสียงจากการทำ Buffet Channel แล้ว ตอนนั้นช่องของเราทำเกี่ยวกับกับคลิปล้อเลียน หนังสั้น คลิปตลก ก็มีงานจ้างเข้ามาหลักพันบ้าง หลักหมื่นบ้าง มากสุดก็แตะหลักแสน
เห็นว่าตอนนั้นเริ่มทำงานเบื้องหน้าแล้วด้วย
ชีวิตผมทำหลายอย่างมาก เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย ระหว่างทำงานเบื้องหลัง ผมก็เริ่มมีชื่อเสียงในโลกออนไลน์ ตอนนั้นพี่หอย (เกียรติศักดิ์ อุดมนาค) พี่วิลลี่ (วิลลี่ แมคอินทอช) เขาทำรายการเฟ้นหานักแสดงตลกหน้าใหม่ เราก็ไปสมัคร จนได้เป็นนักแสดงในสาระแนชาแนล รายการฮาจะเกร็ง รายการงานเข้าที่เล้าเป็ด ผมได้ไปอยู่ในแก๊งนักแสดงตลก เขาก็สอนแต่งตัว ส่งมุก เตรียมมุก เราก็ได้ไปเรียนรู้ตรงนั้น
คิดว่าทำไมพี่หอย พี่วิลลี่ถึงเลือกเจแปนเข้าไปเป็นหนึ่งในนั้น
คิดว่าเขาเห็นความตั้งใจ แล้วความเป็นตัวเองของเรา และผมไม่เคยท้อ มุกฮาบ้าง ไม่ฮาบ้าง ไม่ขำ หน้าเจื่อนบ้าง ก็กลับไปฝึก จดเอาไว้ ดูรายการตลกเยอะ ๆ ทำการบ้านแล้วกลับไปเล่นใหม่ อันไหนดีเก็บ อันไหนไม่ดีก็ทิ้งไป จนสุดท้ายพี่หอย พี่วิลลี่ก็ได้สร้างตัวเราขึ้นมาในโลกงานแสดง ผมเลยได้อยู่ในทุกรายการของเขาเป็นสิบรายการมาตั้งแต่สมัยเรียน
พอเรียนจบแล้วมาทำงานเต็มตัวต่างจากตอนเรียนไหม
ต่างเยอะเลย ตอนเรียนเราขาดประสบการณ์ และมันคือการเรียนเพื่อทำคะแนน แต่พอเรียนจบปุ๊บมันคือสนามจริง เจ็บจริง ท้อจริง เหนื่อยจริง ร้องไห้จริง ตอนเรียนจบผมทำบริษัทกับเพื่อน ทุกอย่างในชีวิตมันดีไปหมดมาตั้งแต่ตอนเรียน แต่ที่ต่างจากตอนเรียนคือคราวนี้มันเจ็บจริง
เล่าประสบการณ์เจ็บจริงให้ฟังหน่อยได้ไหม
ตอนเรียนจบผมมีเงินติดกระเป๋าที่สะสมมาจากการทำงานหนึ่งแสนบาท เราเลยร่วมหุ้นกับเพื่อนทำบริษัทแบบเทหมดหน้าตักเลย ตอนนั้นเราไม่มีพื้นฐาน ไม่มีความรู้ เหมือนเดินเข้าป่าด้วยมือเปล่า ไปตายเอาดาบหน้า เราวาดภาพไว้สวยหรูเลยว่าจะเป็นอย่างไร ได้แต่คิดงาน อยากขายซีรีส์ ขายหนังสั้น แต่เปิดไปได้เกือบ 2 ปีไม่มีงานเลยสักงานเดียว
เราได้แต่สงสัยว่ากูดังในโลกออนไลน์มากเลยนะ แล้วทำไมในชีวิตจริงเป็นอย่างนี้ เงินที่ลงทุนไปก็ค่อย ๆ ร่อยหรอ เพราะเราไม่มีความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจแม้แต่นิดเดียว เราทำงานเป็นหมด แต่ไม่รู้จะหาเงินจากสิ่งที่ทำเป็นได้อย่างไร แล้วใครจะมาทำงานกับเด็กที่เพิ่งเรียนจบ ไม่มีความน่าเชื่อถือ เรียนกำกับภาพยนตร์มา เคยกำกับแต่ชีวิตคนอื่น แต่กำกับชีวิตตัวเองไม่ได้เลย
จังหวะนี้ไคลแม็กซ์ของหนังกำลังจะเกิดขึ้น ทุกอย่างมันตกต่ำลงไปเรื่อย ๆ แต่มันก็ยังตกต่ำได้อีก คือโจรขึ้นออฟฟิศ ขนกล้อง คอมพิวเตอร์ มูลค่าประมาณสองแสนกว่าบาทหายไปหมดเลย ขนาดสายไฟแพง ๆ ที่พันเอาไว้เตรียมรีโนเวทออฟฟิศ มันยังตัดเอาไปขาย
ตอนนั้นคุณทำอย่างไร
ช่วงเวลาที่เราหาทางออกจากปัญหาไม่ได้ มันก็เสียใจ ไม่รู้จะรับมืออย่างไร แต่สุดท้าย ผมก็ไม่ได้ทำงานคนเดียว ยังมีเพื่อน เราก็นั่งคุยกันว่าทุกคนพร้อมจะสู้ต่อไหม เราก็บอกเพื่อนว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวหนี้ที่เกิดจากการถูกขโมย เรามาหาทางใช้หนี้กัน แต่ว่าขอเวลาหน่อย
ผมไม่ใช่คนที่เก่งทุกอย่าง เคยเจอทางตันเหมือนกัน แต่หลังจากที่เราแก้ปัญหามาเยอะ เลยพอรู้ว่าเราต้องค่อย ๆ ถ่างปัญหาออกมาดูว่าอะไรต้องแก้ด่วน อะไรที่เอาไว้ค่อยแก้ในระยะยาวได้ มันจะเหลือปัญหาที่ต้องแก้เร่งด่วนน้อยมาก ถ้าไปมองว่าทุกอย่างคือปัญหาเสียหมด มันก็คือปัญหาก้อนใหญ่ที่ไม่รู้จะแก้อย่างไร
และทางออกมันอาจไม่ได้เป็นแค่ประตูที่บิดลูกบิดปุ๊บแล้วออกได้เลย มันอาจจะเป็นหน้าต่าง ผนัง ดาดฟ้า ใต้ดิน มันก็คือทางออกเหมือนกัน บางคนเขาต้องใช้กำลังทั้งหมดกว่าจะเจอทางออก บางคนทุ่มทั้งตัวก็ยังหาทางออกไม่ได้ บางคนอาจจะใช้วิธีลัดนิดหน่อย มีที่ปรึกษา มีผู้ใหญ่ช่วยพาออก มันมีหลากหลายวิธีการ หลากหลายทางออก
แล้วทางออกของเหตุการณ์ครั้งนี้คืออะไร
เงินก็ไม่มี แต่ดันมีรายจ่ายเข้ามา เลยคุยกับเพื่อนว่าเราลดอีโก้ลงกันหน่อยไหม ลองมองตัวเองว่าพวกเรามาจากไหน ถนัดอะไร แล้วทำอะไรได้บ้าง
ตอนนี้เหมือนผมชวนเพื่อนมาลงเรือแล้วโยนไม้พายให้ทุกคนช่วยกันจ้วง แต่ดันจ้วงทวนกระแสน้ำเพราะอยากจะไปถึงฝั่งทั้งที่จริง ๆ แล้วพายตามน้ำมันง่ายกว่าเยอะ ไม่ต้องไปมองยอดเขาหรอก ข้างหน้ามันมีมหาสมุทรกว้าง เราอาจจะเจอเกาะใหม่ ๆ ก็ได้ พอคิดได้แบบนั้นก็เหมือนได้เคาะกะโหลกตัวเองดัง ๆ
ตอนนั้นเรามีฐานแฟนคลับในเพจอยู่เกือบหกหมื่นคน มีคนตามช่อง YouTube เป็นแสน เราเลยกลับมาทำสิ่งนี้ ความฝันยังเหมือนเดิมแต่ลดความทะเยอทะยานลงหน่อย เชื่อไหมว่าหลังจากทำคลิปตลกทุกอย่างก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่ไม่มีงาน ก็มีงานเข้ามาเดือนนึงเป็นสิบ ๆ ตัว ตอนนั้นเรียกเรทราคาเท่าไหร่ก็ได้ในแบบที่ปัจจุบันนี้คงทำไม่ได้แล้ว ช่วงที่พีคที่สุดยอดเงินสุทธิของบริษัทคือ 22 ล้านบาท ทั้ง ๆ ที่แทบจะไม่ได้ทำโฆษณาเลยด้วยซ้ำ
ตอนนั้นเรารู้สึกว่าประสบความสำเร็จมาหนึ่งขั้นแล้ว ผมยินดีกับบันไดทุกก้าวนะ ไม่ใช่ว่าเราเดินเหนื่อยมาตั้งหลายขั้น แล้วค่อยมายินดีกับขั้นสุดท้าย เราเดินไปได้แค่ก้าวเดียว เราก็ดีใจแล้ว
แม้จะเจอเรื่องเจ็บจริง แต่คุณก็ยังมีไฟไปต่อ และยังแน่วแน่กับความฝันเดิม
สิ่งหนึ่งที่เป็นคติประจำใจผมเลยนะ คือผมไม่เคยลดความฝันของตัวเองลงเลย ตอนที่เรียนมัธยม มหาลัยเรามีความฝัน แต่พอเรียนจบแล้วมาทำงานจริง เชื่อไหมหลายคนเริ่มมองเห็นว่าฝันมันสูงมาก จากที่มันสูง บางคนก็เลยลดความฝันลงมาเอาแค่พอเอื้อมถึง แต่ส่วนตัวผมเองไม่เคยเอาฝันลงมาเลย ผมจะหาทุกวิธีที่จะพาตัวเองขึ้นไปแล้วคว้ามันให้ได้ เพราะมันคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ผมอยากได้
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราฝันสูง ๆ ไปเถอะ ความฝันมันคือแพสชัน คนเรามีความฝันไม่เหมือนกัน บางคนมีความสุขในการเป็นมนุษย์เงินเดือน มีเงินเดือนที่พึงพอใจ มันก็คือความฝันแล้ว ยิ่งถ้าโชคดี บางครั้งจังหวะเวลามันก็เหวี่ยงโอกาสมาเป็นของเรา
ผมชอบคำพูดหนึ่งของพี่ ซี - ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์ มาก เขาบอกว่า “เมื่อเรามองเห็นโอกาสแต่เราไม่คว้าไว้ โอกาสมันอาจกลายเป็นอากาศทันที” ผมว่าคำนี้มันใช่ และผมคิดว่าตัวเองไม่เคยพลาดโอกาสที่เหวี่ยงเข้ามาในชีวิตเลยแม้แต่ครั้งเดียว
มีครั้งไหนที่โอกาสเหวี่ยงมาหาคุณ แล้วคุณคว้ามันไว้
สมัยมัธยมผมก็เป็นแค่เด็กตลกธรรมดา แต่วันหนึ่งครูก็มาชวนว่า “มึงเก่งขนาดนี้ มึงมาจับไมค์ แล้วมึงมาเป็นพิธีกรของโรงเรียนดีกว่า” นั่นคือโอกาสแรกที่ผมคว้าเอาไว้ ตอนนั้นผมกลัวนะ แต่ผมก็เตรียมความพร้อม ไปศึกษาว่าพี่ โน้ส - อุดม แต้พานิช พูดยังไง อาจารย์จตุพล ชมภูนิช พูดยังไง เราจะได้พูดเก่ง ๆ แบบเขา
ตอนเรียน ผมก็ได้ทำตำแหน่งอาร์ตไดเรกเตอร์ ครีเอทีฟ ผู้กำกับ ตอนนั้นผมทำไม่เป็นสักอย่างเลย แต่มันต้องคว้าเอาไว้ ระหว่างนั้นก็ศึกษา ไม่รู้ก็ถาม ตอนเรียนจบ เพื่อน ๆ ก็มอบตำแหน่ง CEO ของบริษัทให้ เราก็ไม่ลังเลที่จะทำแล้วเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน
วันหนึ่งเขาให้ผมมาเป็นนักแสดงของรายการชิงร้อย ชิงล้าน ผมก็คว้าโอกาสนั้นไว้ ทั้ง ๆ ที่ผมกลัวมากว่ากูจะตลกไหม มาอยู่กับแก๊งสามช่า พี่หม่ำ พี่เท่ง พี่โหน่งที่เป็นระดับครูบาอาจารย์ เราจะทำได้ไหม แต่ผมก็ไม่เคยทิ้งโอกาสและพยายามหาวิธีการที่ผมจะสามารถพัฒนาตัวเองให้ได้
งานเบื้องหน้าเป็นส่วนหนึ่งในความฝันของคุณด้วยไหม
สิ่งนี้มันคือความฝันลึก ๆ ของผม ตอนเด็ก ๆ ผมอดทน นอนดึกตื่นเช้าเพื่อจะดูชิงร้อย ชิงล้าน และมีความฝันว่าสักวันหนึ่งขอแค่ได้เข้าไปนั่งเป็นเด็กปรบมือในรายการก็พอแล้ว ถ้าโชคดีหน่อย พี่ ๆ ก็คงดึงขึ้นไปเล่นบนเวที ผมไม่เคยลดความฝันนั้นลงมาเลยนะ และวันหนึ่งโอกาสมันเหวี่ยงมาเจอกับความฝันจริง ๆ ทำให้ผมได้กลายเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ได้อยู่กับแก๊งสามช่า เล่นอยู่บนเวทีชิงร้อย ชิงล้าน
ความกดดันในฐานะคนเบื้องหน้าคืออะไร
ความคาดหวังแหละ พอเป็นตลก คนดูเขาจะคาดหวังว่าจะตลกไหม สมมุติว่าเตรียมมุกมา คุณไม่รู้หรอกว่าจะได้เล่นมุกนี้หรือเปล่า คุณก็ต้องตามเขา แล้วต้องเล่นในเรื่องราวเดียวกัน ไม่ใช่ว่าเล่นไปแล้วเหมือนเล่นกันอยู่คนละคณะ
แล้วที่สำคัญเลยคือผมพยายามหา Position ของตัวเอง เราจะนำเสนออะไร แก๊งสามช่าเขาเป็นตลกมืออาชีพ ตลกเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว แล้วเราในฐานะตลกรุ่นใหม่ เราจะตลกยังไง ก็ต้องนำเสนอมุมมองของเด็กรุ่นใหม่สิ มุกโซเชียล คำคม มุก TikTok เราต้องหาให้เจอว่าเขาเอาเรามาแสดงทำไม ผมต้องตอบตัวเองให้ได้และพัฒนาต่อไป
การหา Position ของตัวเองจำเป็นอย่างไรในชีวิตการทำงานของเจแปน
ผมยังจำเรื่องนี้ได้เสมอและมันเป็นแรงผลักดันสำหรับผม สมัยเรียนผมได้ไปฝึกงานกับพี่คนหนึ่งซึ่งเขาเป็นไอดอลของเรา ตอนนั้นผมทำงาน 24 ชั่วโมงแบบไม่ได้พักเลย มีแค่ข้าวกล่อง 2 มื้อ และน้ำอัดลม 1 ถุงแบ่งกันกินกับเพื่อน แล้วได้ค่าแรงแค่ 100 บาท
เขาบอกว่าสักวันหนึ่งมึงจะเห็นความสำคัญของเงิน 100 บาทนี้ มันอาจไม่ใช่เงินที่เยอะ แต่จะจำได้ว่ากว่าจะได้เงินมามันลำบากแค่ไหน ทุ่มเทเท่าไหร่สุดท้ายก็ได้เงินเท่านี้
มันทำให้ผมเห็นว่าไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน แต่มูลค่าของคุณอาจไม่ได้มากตามความเก่ง ถ้าคุณอยู่ผิดที่ ผิดทาง ถ้าไปอยู่ถูกที่มูลค่าของเราอาจมากกว่านั้น มันเลยเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานในปัจจุบัน ว่าถ้าเราอยู่ถูกที่ เราจะเติบโตและได้เป็นตัวเองด้วย
คิดว่าตอนนี้คุณอยู่ถูกที่ ถูกทางแล้วหรือยัง
ผมว่าผมอยู่ถูกจุดและค่อย ๆ ขยับไปทีละสเต็ป เริ่มแรกผมทำเองทุกอย่าง คิดงาน ขายงาน ครีเอทีฟ ตัดต่อ จนบางทีรวมไฟล์ให้ทีมงานก็มี แต่ถึงเราจะทำงานได้ร้อยอย่าง แต่ว่ามีสิ่งที่เราทำได้ดีกี่อย่าง เราถึงพยายามหา Position ของเรามาตลอดว่าควรอยู่ตรงไหน จนวันนี้ผมคิดว่าตัวเองเหมาะกับการเป็นเฮด เป็นหัวหอกที่จะออกไปคุยกับคน ด้วยทักษะการเจรจาของผม มันเลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่จะขยับจากการเป็นเบื้องหลังมาก ๆ ไปอยู่เบื้องหน้าและเป็นผลักดันตัวaเองให้เป็นผู้นำ
เรารู้มาหมดทุกอย่าง มองเห็นว่าองค์ประกอบของการทำงานมีอะไรบ้าง เปรียบการทำงานเป็นเขาวงกต ผมถนัดเป็นคนคุมเกมที่รู้ว่าใครจะออกทางไหน เพราะผมมองเห็นหมดแล้วว่าองค์ประกอบของงานมันมีอะไรบ้าง และคิดว่าตัวเองเหมาะกับการมองภาพกว้างและจัดสรรงานให้กับคนในทีม
การเป็นคนเบื้องหลังมาก่อน ซัพพอร์ตการทำงานหน้าฉากในวันนี้อย่างไร
ทุกวันนี้ผมไม่ได้ทำแค่หน้าที่นักแสดง การแสดงในซิทคอมมันเหมือนบ้าน ถ้าคิดแค่ว่าเขาจ้างเรามาเป็นแค่นักแสดงมันก็จะไม่เข้มข้น มันเหมือนกาแฟที่ไม่ได้คนนมข้างล่างแก้ว แต่เราจะต้องคิดตามทีมงาน ผมมักจะถามทีมงานเสมอว่า พี่ บทนี้ตรงไหนที่มันตลก เดี๋ยวผมขยี้ให้เลย มุกแบบนี้ ตบแบบไหนให้ตลกกว่าเดิม เราก็ใช้ทักษะในการเป็นครีเอทีฟของเราเสริมเข้าไปด้วย มันคือผลงานของคนทุกคนที่อยู่ในหกฉากฯ ถ้าดีมันก็ต้องดีทั้งแผง ได้รับคำชมทั้งแผง ทั้งนักแสดงและทีมงาน
บางทีผมเจอเรื่องราวอะไรมา ผมก็จดเป็นมุกแล้วก็จะส่งบทนี้ให้ทีมงานที่สนิทกัน ให้พี่เขาไปพัฒนาต่อ
(เจแปนเล่าไป พลางโชว์มุกที่เขาเคยจดไว้ในสมาร์ทโฟน)
A : เมียมึงนี่ก็เก่งทุกอย่างเลย ที่สำคัญหาเงินเก่ง มึงไม่ภูมิใจหรอวะ ?
B : ภูมิใจอะไรล่ะ กูซ่อนที่ไหนก็หาเจอหมด หาเก่งทุกที
ผ่าม !
เป็นตลกแล้วเคยไม่ตลกไหม
บอกเลยว่าบางครั้งผมก็ไม่พอใจมุกของผมนะ คือมันก็ไม่ได้ตลกมาก แค่บันเทิงหน่อย ๆ แต่ผมทำเต็มที่ และไม่เคยเสียดายที่ได้ทำไป แค่พัฒนาตัวเองต่อไป อย่าไปฝังใจกับมัน เหมือนกระดานไวท์บอร์ดใหญ่ ๆ มีปากกาสีดำจุดไว้แค่จุดเดียว เราอย่าไปโฟกัสแต่จุดนั้นจุดเดียว ทั้ง ๆ ที่มันมีพื้นที่สีขาวตั้งเยอะแยะ
ผมไม่ได้โลกสวยนะ มีคนด่าผมในโซเชียล ในทวิตเตอร์เยอะแยะ แต่อยู่ที่ผมว่าจะมองมันเป็นจุดใหญ่ไหม เราไม่ได้มองข้ามเรื่องที่เขาด่านะ แต่พอมองแล้ว เราก็ต้องมองตัวเองด้วยว่าเราเป็นแบบนั้นไหมถ้าเขาด่าว่า โอ๊ย ไม่ตลกเลย เราต้องดูว่าที่เราเล่นมันไม่ตลกจริงไหม หรือก็พอขำอยู่ หรือว่าเขาเส้นลึกไป เราต้องมองข้อดีของตัวเองบ้าง
บางครั้งเขาบอกว่าไม่ตลก เออว่ะ มันไม่ตลกจริงอย่างที่เขาว่า ผมก็ยอมรับไป แต่อย่าแบกรับความรู้สึกทั้งของคนอื่นและตัวเองไว้ ไม่อย่างนั้นจะเหนื่อย ผมเป็นคนรับฟังนะ ติได้ ชมได้ ยิ่งชอบเลยถ้าชม เพราะจะมีพลังงานในการทำงาน
เท่าที่คุยกันมาเห็นว่าเป็นคนที่สนุกกับงานมาก อยากรู้ว่า Work - Life - Balance สำหรับเจแปนเป็นอย่างไร
ผมอยู่ตรงกลาง เลือกชีวิตงานไม่เดิน เลิกงานชีวิตไม่มีความสุข งานที่ผมทำอยู่มันคือชีวิตผม ถ้าสมมุติวันหนึ่งผมตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าไม่มีความสุขที่ต้องทำงาน มันคงไม่ถูกต้องแล้ว แต่ผมแฮปปี้ที่ได้เห็นสิ่งที่ผมสร้างเอาไว้ แล้วมันทำให้ผมมีแรงขับเคลื่อนที่อยากทำให้ชีวิตตัวเองดี
ผมปรับตัวได้ ถ้างานหนัก เราก็เทมาด้านงานหน่อยเพื่อทำให้งานมัน Flow ถ้าเราไปคิดว่าจะทำงานวันแค่วันละ 8 ชั่วโมง งานมันก็ไม่เดิน เรายอมไม่ได้ พองานเสร็จ ก็จะมีเวลาอีกเยอะที่เราจะพัก สำหรับผมชีวิตจะมีความสุขได้ ถ้างานมันราบรื่น งานดี เงินดี ชีวิตก็มีความสุข
แต่ถ้าชีวิตมีความสุขมากเกินไปมันก็จะตามมาด้วยค่าใช้จ่าย โอ้โห เที่ยวสะบัด กินแหลก ไม่ทำอะไรเลย (หัวเราะ) แล้วงานจะอยู่อย่างไร พนักงานจะอยู่อย่างไร
อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณตื่นเช้าแล้วอยากออกไปทำงานในทุก ๆ วัน
งานมันคือชีวิตผมและมันแยกออกจากกันไม่ได้ เหมือนผมตื่นขึ้นมาแล้วผมอยากล้างหน้า แปรงฟัน และทำงาน ปัจจุบันผมทำงานทั้งเบื้องหลัง เบื้องหน้าควบคู่กัน และผมไม่เคยทิ้งแพสชันที่ทำบริษัทร่วมกับเพื่อนเลย เพราะมันคือความฝันที่ฝันมาตลอด และเป็นความฝันที่ผมจะทำเพื่อใช้ชีวิต เป็นสิ่งที่ต่อยอดมาจากการเรียน และเราเรียนเพื่อมาประกอบอาชีพ
และที่สำคัญ ผมกลัวคำว่าเสียดาย รู้อะไรก็ไม่เท่ารู้งี้ กลัวคำว่าเมื่อมีโอกาสแล้วทำไมไม่ทำ สมมุติ 10 ปีข้างหน้า ผมไม่ได้เป็นนักแสดงหกฉาก ฯ แล้ว ผมก็จะมองกลับไปว่าครั้งหนึ่งผมเคยเต็มที่กับมันเกินร้อย ทุกอย่างมันผลิดอก ออกผล ผมมีหน้าที่แค่หว่านเมล็ดเอาไว้แล้วปล่อยมันเติบโต สักวันเราย้อนกลับมามองดูสิ่งที่เราทำไว้มันก็สวยงาม ยิ่งใหญ่