ศรัทธาหรืองมงาย ? คุยกับ ‘หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ’ ถึงวิถีมูเตลูที่แทรกซึมอยู่ในชีวิตผู้คน

19 Oct 2023 - 10 mins read

Better Life / People

Share

เอ่ยชื่อ ‘เสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล’ คงมีน้อยคนจะรู้จัก

 

แต่หากพูดถึง ‘หมอบี ทูตสื่อวิญญาณ’ รับรองว่าไม่เฉพาะคนไทยเท่านั้นที่รู้จักชายผู้เชื่อมโยงเรื่องราวลี้ลับกับธรรมะให้เนียนเป็นเนื้อเดียวกันคนนี้ เพราะหมอบียังเป็นที่พึ่งทางใจในการหาคำตอบให้กับบางปริศนา ที่คนในอีกหลายประเทศทั่วโลกต่างก็ต้องการที่พึ่งทางใจด้วยกันทั้งนั้น

 

แม้จะมีญาณพิเศษ (ที่เจ้าตัวบอกว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะใคร ๆ ก็สามารถฝึกฝนจนมีความสามารถอย่างเขาได้) จนได้รับสมญานามว่าสื่อสารกับวิญญาณได้ แต่เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของชีวิตประจำวันของหมอบี เขาแทบจะไม่ได้ติดต่อกับวิญญาณสักเท่าไร หากวิ่งวุ่นสาละวนช่วยงาน หลวงพ่ออลงกต เจ้าอาวาสวัดพระบาทน้ำพุ ที่อุทิศตนเพื่อสังคม จนกระทั่งมีศิษย์เอกชื่อเสกสันน์มาเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการร่วมสานต่อเจตนารมณ์ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

 

จากความสนใจส่วนตัวในด้านธรรมะ เมื่อเสกสันน์ได้ใกล้ชิดพระนักปฏิบัติชนิดคลุกวงใน ยิ่งทำให้เขาเทน้ำหนักในการเป็นทูตสื่อธรรมมากกว่าการสื่อสารกับวิญญาณ และไม่เคยเหนื่อยหน่ายกับการถ่ายทอดสารที่แท้จริงของพุทธศาสนาให้ผู้ที่ต้องการคำตอบแบบเป็นวิทยาศาสตร์ได้รับฟัง และลองนำไปปฏิบัติปรับใช้กับชีวิตของตนเอง

 

“เวลาคนเชื่ออะไรแล้วไม่มีปัญญาเรียกว่าความงมงาย ต้องใส่ปัญญาเข้าไปถึงจะเป็นศรัทธาที่ถูก” คือบางประโยคจากบทสนทนาของเสกสันน์กับ LIVE TO LIFE ที่ตอกย้ำถึงสาระสำคัญที่เขามุ่งมั่นสื่อสารให้ผู้คนในวงกว้างรับรู้เสมอมา

 

จากทูตสื่อวิญญาณสู่ ‘ผู้สื่อสารธรรมะ’

 

เวลาแนะนำตัว คุณมักบอกว่าตัวเองประกอบอาชีพอะไร

“ขึ้นอยู่กับว่าเรานิยามอาชีพว่าอะไร ถ้าอาชีพคือสิ่งที่ทำแล้วได้เงิน การช่วยงานหลวงพ่ออลงกตก็ไม่ใช่อาชีพของผม แต่ถ้านิยามของอาชีพไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องเงิน แต่เป็นการทำอะไรสักอย่างเต็มเวลาหรือใช้ชีวิตอยู่กับมัน สิ่งนี้ถือว่าใช่”

 

แต่ละวันคุณต้องทำอะไรบ้าง

“หลัก ๆ เป็นการไปช่วยงานหลวงพ่ออลงกต ทั้งงานที่ต้องไปหน้างานกับหลวงพ่อ และงานที่หลวงพ่อบอกให้ทำ เช่น เอาของไปช่วยตามชุมชนต่าง ๆ ไถ่ชีวิตโคกระบือ ซึ่งมีเกือบทุกวัน ไม่มีวันหยุด เดือนเมษายนปีหน้าก็จะครบ 10 ปีที่ผมช่วยงานหลวงพ่อ”

 

“ส่วนนาถะคาเฟ่เกิดจากแนวคิดที่อยากทำชุมชนของคนที่คิดจะทำอะไรดี ๆ ร่วมกัน ใครมีเรื่องราวดี ๆ ที่อยากบอก อยากสอน อยากเปิดคอร์สที่มีประโยชน์แก่คนหมู่มากก็มาคุยกันได้ เช่น ที่นี่เคยจัดเวิร์กช็อปโยคะและไทเก๊กบนชั้นดาดฟ้า อีกทั้งตัวร้านของเราก็ไม่ได้หรูหรา ไม่มีที่ถ่ายเซลฟี่ ออกจะรก ๆ ด้วยซ้ำ มีข้าวของบริจาคเยอะแยะไปหมด เพราะเราเปิดรับของบริจาคตลอด เนื่องจากมีคนขอความช่วยเหลืออยู่เสมอ ถ้าเราทำสถานที่ให้ดูตึงเกินไป เช่น มีหน้าตาเป็นสถานปฏิบัติธรรม คนก็อาจจะไม่กล้าเข้ามา แต่พอเป็นคาเฟ่ ใคร ๆ ก็มารีแล็กซ์ เฮฮาได้ บางคนนั่งทำงานในโซนคาเฟ่จนรู้สึกเครียด อยากพัก ก็ขึ้นไปเปิดแอร์นอนในห้องสมุดของเราได้ ไม่ว่ากัน”

 

ส่วนงานที่สร้างรายได้สำหรับคุณคือ เคสรับปรึกษาที่เมืองนอก อยากทราบว่าชาวต่างชาติต้องการให้คุณช่วยเหลือในแง่ไหน

“โดยพื้นฐานของเขาไม่ใช่ความกลัว เขาแค่หาคำตอบไม่ได้ เลยอยากหาใครสักคนมาตอบคำถามว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไร ปรับแก้อย่างไรได้บ้าง สมมติเป็นคดีอะไรบางอย่าง เช่น คนเสียชีวิตแบบผิดปกติ ไม่ได้เกิดจากการเจ็บไข้ได้ป่วยหรืออุบัติเหตุ เขาก็อยากจะรู้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่”

 

“และตอนนี้ด้วยความที่เศรษฐกิจแย่ ส่วนใหญ่จึงเป็นเรื่องของฮวงจุ้ย บางคนมองว่าศัตรูคู่การค้าทำฮวงจุ้ยเล่นงานเขา อยากให้เราช่วยแก้ ผมจึงต้องเดินทางไปถึงที่ เพราะต้องใช้การพูดคุยโดยละเอียด เนื่องจากโดยความหมายแล้ว ฮวงจุ้ย แปลว่า ความสัมพันธ์เรื่องดิน ฟ้า อากาศ แสง น้ำ ลม หรือความสมดุลตามธรรมชาติ และหลักการที่สำคัญที่สุดของฮวงจุ้ย คือ ชีวิตจะดีหรือไม่ดี ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่ แต่ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล บุคคลมีลักษณะนิสัยอย่างไร ร้านค้า บริษัท บ้านเรือน ก็จะเป็นไปตามนิสัยของคนคนนั้น”

 

“ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในการปรับฮวงจุ้ย คือ คนที่อยู่ คนที่ใช้งาน คนที่เป็นเจ้าของ ฮวงจุ้ยของผมจึงไม่สามารถบอกได้ว่าโต๊ะทำงานต้องหันไปทิศไหน กี่องศา หรือถ้าจะให้เอาสิ่งที่เป็นมงคลมาตั้ง ก็ต้องถามก่อนว่าสิ่งที่เป็นมงคลของคนคนนั้นคืออะไร เพราะสิ่งมงคลของแต่ละคนไม่เหมือนกัน เช่น ถ้าบอกว่าต้องเป็นเทพเจ้าองค์นี้เท่านั้น ถ้าเขาไม่ชอบล่ะ สิ่งนั้นก็ไม่ใช่สิ่งมงคลสำหรับเขา บอกให้วางรูปภาพครอบครัวบนโต๊ะทำงาน สำหรับคนที่เห็นภาพครอบครัวแล้วสุขใจ รู้สึกมีกำลังใจ สิ่งนั้นเป็นมงคล แต่บางคนเห็นภาพครอบครัวแล้วหดหู่ รู้สึกเป็นภาระ ไม่แฮปปี้ สิ่งนั้นไม่ใช่สิ่งมงคล ดังนั้น ถ้าใครชอบฮวงจุ้ยแบบมีกิมมิกก็ไม่ใช้บริการผมอยู่แล้ว ลูกค้าส่วนใหญ่จะรู้สไตล์ผมว่าแต่ละเคสใช้เวลานาน ต้องพูดคุยจริงจัง”

 

คุณคิดว่าอะไรดลใจให้คุณเดินทางบนเส้นทางสายนี้

“ผมไม่ได้มองเรื่องเงิน หรือมองว่าฉันทำเพราะฉันมีความสุขกับมัน ผมมองในแง่การหาคำตอบมากกว่า และช่อง ๆ นี้เป็นช่องที่เราไม่รู้ และอยากที่จะรู้”

 

หาคำตอบว่าอะไรบ้าง

“พูดกว้าง ๆ ก็คือเรื่องของธรรมะ ช่องนี้คืออะไร มีจริงรึเปล่า ปฏิบัติอย่างไร มันเหมือนเป็นรูโหว่ของเรา เลยพยายามหาเรื่องราวมาทำความเข้าใจ”

 

วิชาไฟแนนซ์ที่คุณเรียนมาสามารถเอามาประยุกต์ใช้กับการค้นหาคำตอบทางธรรมะได้ไหม

“มีประโยชน์มาก ๆ ครับ โดยคอนเซ็ปต์แล้ว ถ้าเรารู้จักและเข้าใจการลงทุน การลงทุนไม่ใช่ฉันมี 100 แล้วทุ่มเต็ม 100 ในช่อง ๆ เดียว แบบนี้ถือว่าไม่ฉลาดแล้ว เราควรจะกระจายความเสี่ยง แปลว่า เราจะไม่ปักใจเชื่ออะไรร้อยเปอร์เซ็นต์ งั้นแทงกั๊กได้ไหม 50/50 เหรอ มันอาจจะได้มากกว่านั้นนะ ทำไมเราต้องเชื่ออันนี้ด้วยล่ะ เราลองเอาใจเราลงไปเล่นกับเรื่องนี้ 15% 20% 25% และต้องเป็นคนละหมวดกันด้วยนะ ดังนั้น ผมว่าความรู้ด้านการเงินการลงทุนมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวลาเราจะลงทุนอะไรสักอย่าง เราก็ต้องศึกษาเรียนรู้ก่อนว่าคุ้มค่าไหม ที่มาที่ไปของเรื่องที่จะเชื่อและศึกษามานั้นมีแนวโน้ม ความน่าจะเป็น หรือประวัติศาสตร์ความเป็นมาอย่างไร”

 

ดูเหมือนคุณเป็นคนสนุกกับการศึกษาเรียนรู้

“ใช่ครับ สมัยก่อนผมแอนตี้เรื่องการศึกษาในระบบมาก ผมเป็นคนเรียนไม่เก่ง ไม่ชอบเรียน ไม่อยากเรียน แต่ก็ไม่ได้เกเร ไม่ได้ขี้เกียจ แค่ไม่ชอบและไม่เห็นด้วย ทำไมฉันต้องเรียนรู้แคลคูลัส ตรีโกณมิติ ทั้งที่ไม่ได้สนใจ เลยค่อนข้างแอนตี้กระบวนการศึกษา แต่หลังจากที่ผมมาเจอรอยรั่วตรงนี้ก็พบว่าเราต่างหากที่เข้าใจเรื่องการศึกษาผิด การศึกษาไม่ได้แปลว่า อ่าน ท่องจำ ไม่ได้แปลว่าคุณครูบอกแล้วเราต้องทำข้อสอบได้ แต่การศึกษาคือการเรียนรู้อะไรบางอย่างแล้วลงมือปฏิบัติ ซึ่งกระบวนการศึกษาในทางพุทธศาสนานั้นสนุก ผมเพิ่งมาเข้าใจว่าจริง ๆ แล้วการศึกษาคืออะไร”

 

เริ่มสนุกกับการศึกษาตอนไหน

“ผมเริ่มเห็นคุณค่าของการศึกษาตอนเรียนอยู่ที่อเมริกา เกิดจากภาวะกดดันที่เราเป็นชาวต่างชาติน่าจะคนเดียวในมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ เลยกลัวสู้เขาไม่ได้ กลัวเรียนไม่ผ่าน เลยตั้งใจเรียน และความตั้งใจนั้นทำให้เห็นเลยว่าระบบการศึกษาที่เอื้อให้เราได้ศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเองมันสนุก สมมติว่าอยากเรียนรู้ว่าการลงทุนคืออะไร เขาไม่ได้บอกให้ทำ 1 2 3 4 5 แต่จะกระตุ้นให้เราคิดก่อนว่า เราสนใจธุรกิจไหน ถ้าเราเป็นเจ้าของธุรกิจนั้นจะบริหารอย่างไรให้เติบโต”

 

ทำไมเด็กไม่ชอบเรียนถึงตัดสินใจไปเรียนต่อถึงอเมริกา

“ตามผู้หญิงไปครับ (หัวเราะ) ผมมีแฟน แล้วกลัวแฟนทิ้ง เพราะรู้ว่ารักทางไกลไม่เวิร์ก เลยตามไป ซึ่งในเมื่อเขาไปเรียน มีการศึกษาสูง แล้วถ้าเราได้แค่ภาษากลับมา พ่อแม่เขาจะยอมรับเหรอ ก็เลยเรียนไฟแนนซ์เพิ่มเติม ส่วนเรื่องของการสื่อวิญญาณ ผมก็อยู่กับเรื่องพวกนี้มาตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่ได้สนใจนำมาปฏิบัติให้พ้นทุกข์ ตอนนั้นเป็นแค่แง่มุมสนุก ๆ เอาไว้ใช้ทำมาหากินได้”

 

แสดงว่ามูเตลูมีทั่วโลก 

“ที่ไหน ๆ ก็มีหลักความเชื่อของเขา ศาสนาของเขา วัฒนธรรมประเพณีที่เราไปเห็นก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมถึงงมงายได้ขนาดนี้ ทั้ง ๆ ที่เราก็เป็น เขาก็เป็น ช่วงแรกผมเองก็วางจิตวางใจไม่ถูก รู้สึกแอนตี้ แต่พอเราค่อย ๆ ทำความเข้าใจถึงได้รู้ว่ามันเป็นเรื่องปกติธรรมชาติ เราไม่มีความจำเป็นต้องไปต่อต้าน ในบางแง่มุมถ้าเราเปิดใจพอ สิ่งนั้นมีประโยชน์ แต่เราไม่รู้เท่านั้นเอง”

 

ธรรมะ คือ ธรรมชาติ

 

โดยส่วนตัว คุณเคยมีวิถีที่ ‘ตึง’ จนเกินไปไหม

“เคยครับ พอรู้ตัวว่ามากไปเราก็ตบตัวเองลงมา บางทีมีเรื่องราวที่เราหย่อนลงไป ก็ตบตัวเองขึ้นมาให้พอดี ผมยังอยู่ในหนทางที่ศึกษาเรียนรู้ไปด้วย ไม่ได้เป็นผู้บรรลุแล้วขนาดนั้น”

 

กว่าจะเป็นคนที่รู้ตัวเองได้แบบนี้ ต้องศึกษาเรียนรู้อะไรมาบ้าง 

“เป็นการผ่านการเรียนรู้แบบมีประสบการณ์ซึ่งก็ไม่ได้แปลว่าดีเสมอไป ประสบการณ์คือการเจอทั้งเรื่องดีและไม่ดี ผมเห็นคอนเซ็ปต์จากสิ่งที่พระพุทธเจ้าปฏิบัติ ท่านไม่ได้อยู่ดี ๆ ก็มีหลักการ ทฤษฎี หรือคัมภีร์เกิดขึ้นในทันทีทันใด แต่สิ่งที่ท่านนำมาสอนพวกเราเกิดจากประสบการณ์ที่ท่านได้เรียนรู้ ดังนั้น ถ้าเราอยากรู้ เราก็ต้องมีประสบการณ์”

 

“อยากรู้ว่าสวดมนต์แล้วได้ประโยชน์อะไร ก็ต้องลองสวด นั่งสมาธิแล้วดียังไง ก็ต้องลองนั่ง อะไรที่ไม่ดีอาจจะผิดพลาด ผมก็เคยทำบ้าง หรืออาจจะยังทำอยู่รึเปล่าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็พยายามปรับให้เป็นธรรมชาติ คือไม่ไปยึดตัวอักษรจนเกินไป ผมไม่ใช่คนที่อ่านพระไตรปิฎกแล้วท่องจำได้ แต่เราต้องมีความเข้าใจในเรื่องเหล่านั้น ก่อนที่เราจะเอามาสื่อสารต้อง Make Sure ว่าเราเข้าใจจริง และสิ่งที่เราเข้าใจไม่ใช่สิ่งที่เราคิดเอง ต้องมีต้นแบบที่เชื่อถือได้ ผมถึงจะกล้าบอก กล้าพูด และตัวเองต้องทำได้ด้วย ถ้าทำไม่ได้ พูดแล้วจะรู้สึกกระดากปาก”

 

“จริง ๆ แล้ว ธรรมะ คือ ธรรมชาติ แปลว่า ถ้าเรามีความเข้าใจธรรมชาติของตัวเราเอง เข้าใจธรรมชาติของผู้อื่น และเข้าใจธรรมชาติของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เราจึงค่อยแสวงหาปัญญาเพื่อที่จะได้จัดการกับธรรมชาติของทั้งตัวเรา คนรอบข้าง และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ได้ ผมว่ามีแค่นี้แหละ แต่ส่วนใหญ่เรามักพยายามปรับ ดัด อะไร ๆ ให้ไม่เป็นธรรมชาติ แต่เป็นดั่งใจเรา ซึ่งพอลองทำดูก็จะรู้ว่ามันฝืนธรรมชาติ ก็ปรับไปเรื่อย ๆ ในทุก ๆ วัน ผมจะไม่ไปยุ่งเรื่องคนอื่นมาก เน้นการทบทวนตัวเองในทุกวัน ถ้าเป็นไปได้ก็ทุกชั่วโมง ทุกนาที เราจะทำให้มันดีกว่านี้ได้ไหม ผิดพลาดอะไรไปรึเปล่า ก็พยายามทำไปเรื่อย ๆ”

 

ชีวิตของคุณหลังจากเจอหลวงพ่ออลงกตเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหน

“เปลี่ยนมากเลยครับ เปลี่ยนทั้งโลกของผมเลยก็ว่าได้ แต่เป็นการค่อย ๆ เปลี่ยน ไม่ได้มีจุดหักเห อาจจะเกิดจากการที่ผมตั้งคำถามก่อนว่าท่านทำอะไรบ้าง ทำไมท่านถึงมีวิธีคิดแบบนี้ เมื่อเราไม่ได้มีอคติก็ค่อย ๆ ดู ค่อย ๆ ศึกษาท่านไปเรื่อย ๆ พอเข้าใจหลวงพ่อมากขึ้นก็รู้ตัวเลยว่าปัญญาเรายังห่างชั้นมาก คนที่มีปัญญามาก ๆ เมตตาสูง ๆ เป็นแบบนี้นี่เอง ผมเลยอยากลองพยายามทำตามในวิถีแบบของท่าน หลวงพ่ออลงกตเหมือนเป็นไอดอลของผม ส่วนพระพุทธเจ้าเป็นเหมือนซูเปอร์ฮีโร่ ซึ่งหลวงพ่อก็เป็นศิษย์ของพระพุทธเจ้าที่เลือกจะใช้วิถีแบบนี้ เลยยิ่งรู้สึกเจ๋งมากที่ในโลกนี้คงไม่มีใครทำเหมือนหลวงพ่ออลงกตแล้ว ผมหวังว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ลงมือทำและเข้าใจต่อไปเรื่อย ๆ”

 

ถือเป็นข้อดีของการมีไอดอลรึเปล่า

“ใช่ครับ ผมเคยคิดว่ามีคนให้ร้ายตัวเองเยอะแยะไปหมด พอหันไปมองหลวงพ่อ ท่านโดนเยอะกว่าเราอีก ท่านยังดูโอเคอยู่เลยเพราะมองเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมชาติ ผมจึงพยายามเข้าใจและไม่ยึดติดกับชื่อเสียง ถ้าวันนึงเสียชื่อเสียงก็ไม่ได้แปลกอะไร เป็นเรื่องธรรมชาติ ยิ่งเราเป็นที่รู้จักมาก คนก็จับจ้องมาก ผมจึงพยายามบอกว่าผมเป็นคนธรรมดา ผิดชอบชั่วดีได้ ถ้าเกิดมีเรื่องราวอะไรบางอย่างที่ผมทำผิดพลาด ก็ไม่แปลก”

 

เคยตั้งรับไม่ทันกับชื่อเสียงที่ถาโถมเข้ามาบ้างไหม

“ไม่เคยครับ เพราะผมเข้าใจอยู่แล้วว่าเหตุปัจจัยที่เราทำส่งผลให้เราต้องเจอแบบนี้แน่นอน ผมเป็นคนไม่ซีเรียสกับคอมเมนต์ เพราะเราเข้าใจแต่แรกอยู่แล้วว่าโดนด่า โดนดราม่า โดนขุดแน่นอน สมัยนี้ทุกคนเป็นสื่อได้หมด เมื่อเราอยู่ที่แจ้ง แค่มีใครสักคนสะกิดนิดเดียว แล้วทำให้ทุกคนสนใจ ทั้งที่ยังไม่รู้ข้อเท็จจริง เขาก็รุมด่าเราไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีชื่อเสียงก็เสื่อมได้ เลยเข้าใจแต่แรก ครูบาอาจารย์หลายท่านสอนว่า เวลาโดนคนด่าเยอะ ๆ แสดงว่าเขารักเรา เรามีคุณค่ามากพอที่จะทำให้เขามาด่าเรา ยิ่งด่าแสดงว่าเขารักเรามาก จับจ้องเราทุกโมเมนต์ทุกลมหายใจ จนรู้เรื่องของเรามากกว่าตัวเราเองเสียอีก”

 

หากจะกันตัวเองออกจากดราม่า ควรทำอย่างไร

“เริ่มจากทำความเข้าใจให้ได้ว่า เราดันซวย เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาเพื่อที่จะพบเจอความทุกข์ตลอดทั้งชีวิต ซึ่งไม่มีทางหนีพ้น แล้วถ้าคิดว่าวันนี้หนักแล้ว พรุ่งนี้หนักกว่าแน่นอน เราต้องทุกข์ด้วยอะไรสักอย่าง เจ็บไข้ได้ป่วย สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เจอผู้คนที่เราไม่สามารถไปควบคุมพฤติกรรมความรู้สึกความนึกคิดของเขาที่มีต่อเราได้ ไม่ว่าจะอยู่ในสังคมไหนก็ตาม เราต้องเจอคนที่เราไม่ชอบ และเขาก็ไม่ชอบเรา เราทำอะไรไม่ดีกับเขา เขาทำอะไรไม่ดีกับเราเป็นเรื่องปกติธรรมดา ถ้าวางใจไม่ได้ก็ทุกข์ หรือถึงจะวางใจได้ก็ทุกข์อยู่ดี แต่ทุกข์น้อยหน่อย ทุกข์แบบพอเข้าใจ”

 

“ส่วนความสุขก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ธรรมชาติของมนุษย์ย่อมอยากได้สุขไว้นาน ๆ สุขเยอะ ๆ ความทุกข์ก็อยากถีบออกไปให้ไกลที่สุด เร็วที่สุด เราลืมไปว่าจริง ๆ แล้วทุกข์สุขเป็นของคู่กัน เราต้องมองว่าสุขก็เป็นธรรมชาติ ทุกข์ก็เป็นธรรมชาติ ล้วนมีเหตุและปัจจัยบางอย่างที่ถ้าทำให้สุขก็สุข ทำให้ทุกข์ก็ทุกข์ ถามว่าแล้วมันไม่มีทางแก้เหรอ ไม่มีครับ มันเป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ เลย”

 

อะไรคือเป้าหมายในชีวิตของคุณ

“ผมพยายามมีเป้าหมายในทุกวันมากกว่า ขอให้เส้นทางที่เราเดินอยู่นั้นถูกต้อง เราจะไม่ไปทางซี้ซั้ว แต่อย่างที่บอกแต่แรกว่าหนทางอาจจะมีเดี๋ยวหลุดไปขวาบ้าง หลุดซ้ายบ้าง ตกหลุมบ้าง ก็พยายามดึงตัวเองกลับมาในหนทางที่ถูกต้อง แต่ผมจะพยายามในทุก ๆ วันมากกว่า ส่วนเป้าหมายระยะไกลเป็นเรื่องรอง เช่น ต้องสร้างบ้านให้เสร็จ ต้องดูแลคุณพ่อคุณแม่ ทุกอย่างเป็นเรื่องที่ต้องทำ มีปัญหาก็ต้องแก้ แก้ไม่ได้พรุ่งนี้ค่อยแก้ใหม่ แก้ไม่ได้อีกก็ไม่เป็นไร สุดท้ายถ้าพังก็ต้องพัง จะทำยังไงล่ะ เราต้องเข้าใจว่าบางอย่างมันนอกเหนือจากสิ่งที่เราจะจัดการได้”

 

ขอคำแนะนำ 3 ข้อ ถ้าอยากใช้ชีวิตให้เป็นสุข ควรทำอย่างไร

“เรื่องแรก เข้าใจธรรมชาติตัวเอง เข้าใจธรรมชาติคนรอบข้าง และเข้าใจธรรมชาติเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นี่คือเรื่องแรกที่มนุษย์ต้องทำ เรื่องที่สอง พอเข้าใจแล้วค่อยแสวงหาปัญญา แสวงหาความเข้าใจที่จะมาจัดการกับธรรมชาติเหล่านั้นว่าเกิดจากเหตุปัจจัยอะไร แก้อะไรได้บ้างในฐานะที่เรามีปัญญาประมาณนี้ แก้ได้ก็แก้ แก้ไม่ได้ก็ไม่ต้องแก้ ความทุกข์เป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง ไม่เกี่ยวกับปัญหา เรื่องที่สาม ที่อยากให้ระลึกไว้ คือคำสั้น ๆ ว่า ทุกอย่างมันเป็นเช่นนั้นเอง ถ้าเราเข้าใจว่า ก็มันเป็นเช่นนั้นเอง ก็เป็นเช่นนั้นเอง”

 

ท้าพิสูจน์ 5 ความเชื่อในมุมมองของหมอบี

 

“เสื้อสีมงคล”

 

ใส่เสื้อสีมงคลได้ผลจริงหรือไม่จริง

“ผมเชื่อว่าทุกความเชื่อมีผลหมด แต่มีผลแบบไหนก็อีกเรื่องนึง เช่น ชอบสีนี้ ใส่สีนี้จึงรู้สึกแฮปปี้ ยิ่งพอเขาบอกว่าเป็นสีมงคล เราก็ยิ่งมั่นใจ เขาบอกมาว่าต้องเปลี่ยนลายเซ็นจะได้เจริญรุ่งเรือง คราวนี้ทุกครั้งที่หยิบปากกาก็จะฝังอยู่ในซีรีบรัมเลยว่าลายเซ็นนี้ยิ่งใช้ยิ่งดี เขาบอกว่าใช้เลขนี้แล้วรวย ทุกครั้งที่ใช้มันจะแว็บเข้ามาในหัวตลอดว่า รวย รวย รวย ฉะนั้นมันมีผลทางจิตวิทยา อาจจะเป็นผลของจิตใต้สำนึกหรืออุปทานที่เราเข้าใจมัน”

 

“แต่ถามว่า มีผลโดยตรงจริง ๆ ไหม ผมตอบเลยว่าไม่มี เป็นไปไม่ได้หรอกว่าสีนี้ เลขนี้ ใช้แล้วชีวิตจะดี สีนี้อัปมงคล ห้ามใช้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องจริง แต่มีผลทางจิตใจ เรามักจะเชื่อ ๆ ไปก่อน หรือเขาบอกว่าดีก็ดี แต่เราเคยมีปัญญาในการศึกษาเรียนรู้จริง ๆ ไหมว่า มันคืออะไร มีผลจริงเหรอ ทำไมต้องใช้ความเชื่อ เราไม่มีปัญญาในการเข้าใจเรื่องพวกนี้จริง ๆ เหรอว่ามันใช่หรือไม่ใช่ ควรเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ” 

 

แต่ถ้าทำแล้วสบายใจก็ทำไป 

“คำพูดนี้แหละที่ทำให้ผมรู้สึกว่า ถ้าทุกคนบอกว่าทำอะไรแล้วสบายใจก็ทำไป ไม่ได้เดือดร้อนใคร สังคมเลยเป็นแบบนี้ การบอกว่าเราสบายใจแล้วไม่มีผลกระทบใคร ไม่จริง ทุกการกระทำ ทุกคำพูดของเรา ทุกความคิดของเราล้วนมีผลกับอะไรบางอย่างเสมอ แต่เราไม่ค่อยแคร์เรื่องอื่น เรามีความคิดว่าฉันทำแบบนี้แล้วไม่เดือดร้อนใคร เดือดร้อนครับ เดือดร้อนเยอะด้วย เช่น เขาบอกว่าเลข 7 เป็นเลขของความลึกลับ อุ๊ย ตายแล้ว ฉันกลัวผี บ้านฉันมีเลข 7 รู้สึกหดหู่แล้ว ทำไงดี เจอผีแน่เลย ยิ่งป้าข้างบ้านมาทักอีก แล้วบังเอิญมีคนตายในบ้านอีก มีผลกับชีวิตไหมล่ะครับ ถ้าเราใช้ชีวิตแบบไม่มีปัญญา ไม่มีความเข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ เราจะเป็นคนงมงายมาก ๆ ชีวิตยากที่จะเจริญรุ่งเรืองต่อไป เราก็จะอยู่แค่นี้ ไม่พยายามที่จะพัฒนา ไม่พยายามที่จะหาข้อมูลอะไรเพิ่มเติมเลย สังคมก็เลยอ่อนแอแบบนี้ครับ”

 

เคยคิดไหมว่าเราสามารถกระตุ้นหรือช่วยให้คนเกิดปัญญาได้ไหม

“ผมเองก็ไม่ได้เก่งขนาดนั้น แค่ตอบได้เท่าที่รู้ และต้องมีข้อมูลจริง ๆ ฉะนั้น ก่อนจะไปยุ่งเรื่องคนอื่น เราต้องจัดการตัวเราเองก่อน ศึกษาเรื่องราวนั้น ๆ ให้ถ่องแท้และมีข้อมูลข่าวสารเพียงพอ หากมีใครถามจึงจะสามารถตอบได้ แต่ถ้าไม่รู้ ผมก็ตอบว่าไม่รู้ และไม่ใช่หน้าที่ผมด้วยที่จะต้องไปพยายามเปลี่ยนโลกใบนี้ เราต้องเปลี่ยนโลกของเราเองก่อน ถ้าสิ่งที่เราทำแล้วมีประโยชน์ คนเห็นประโยชน์ก็มาแชร์กัน มาจอยกัน สร้างแรงกระเพื่อมเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้เกิดขึ้น ตัวเราเองอาจจะดีขึ้นนิดนึงก็ค่อย ๆ กระจายแรงกระเพื่อมนี้ออกไป ต่อไปเขาจะได้ไม่เชื่อซี้ซั้ว ไม่ใช่แค่ฟังตาม ๆ กันมา เขาว่าดีก็ดี ซึ่งเขาคือใครก็ไม่รู้ เขาให้ไปไหว้แล้วเฮง รวย สำหรับคนที่เริ่มเข้าใจก็จะตั้งคำถามว่า ทำไมฉันไหว้แล้วฉันต้องรวยด้วย ถ้ามีคนหรือสองคนที่คิดแบบนี้ได้ก็โอเคแล้ว”

 

“ขอเลขเด็ดจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์”

 

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดัง ๆ ที่ให้เลข ให้โชค เป็นเรื่องบังเอิญหรือเรื่องจริง

“ผมว่าน่าจะเสี่ยงกว่าเล่นหวยอีกนะ แทงหวยยังมีโอกาสถูก แต่การไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มีความน่าจะเป็นเลย ถือเป็นความเสี่ยงร้อยเปอร์เซ็นต์ ถ้าเราอยากมีชีวิตที่ดี มีคู่ครองดี ๆ มันมีคู่มือบอกอยู่ว่า ถ้าอยากได้คู่ดีต้องทำแบบนี้ อยากรวยทำแบบนี้ แต่เราไม่ทำ เราต้องการอะไรที่รวดเร็ว ทันใจ ขี้เกียจ เห็นแก่ตัวว่าฉันต้องได้ คนอื่นฉันไม่สน แต่จริง ๆ แล้วของมันต้องย้ายใช่ไหม เงินมันต้องย้ายจากที่นึงมาที่นึง แล้วเวลาที่เราได้ มันมาจากที่อื่นรึเปล่าล่ะ เพราะเรามักง่าย ชอบเส้นทางง่ายที่สุด เร็วที่สุด ทันใจที่สุด โดยไม่ได้สนใจกระบวนการ ก็เลยเป็นส่วนนึงที่ทำให้สังคมอ่อนแอ”

 

เฉพาะสังคมไทย หรือที่อื่น ๆ ในโลกก็เป็นเหมือนกัน

“ที่อื่นก็เป็นครับ ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจที่ไม่ดี โรคระบาด การเมือง เป็นวงจร พอสภาพเศรษฐกิจแย่คนก็ต้องหาที่พึ่ง ถ้าสังคมเข้มแข็ง ผู้นำก็จะต้องพยายามบอกให้คนในประเทศนั้น ๆ ฮึด มีความตั้งใจ มีความอดทน มีเมตตา มีน้ำใจ มีปัญญาในการศึกษาเรียนรู้ด้วยตัวเอง ขยันทำมาหากินด้วยตัวเอง ให้ความรู้ ให้ปัญญา ให้เครื่องมือ สังคมถึงจะเข้มแข็งพึ่งพาตัวเองได้ ไม่ใช่ไปพึ่งพาอะไรที่มันไม่ได้ช่วยอะไรเลย และยิ่งทำให้คนกลุ่มนึงรวยยิ่ง ๆ ขึ้นไป เวลาคนเชื่ออะไรแล้วไม่มีปัญญาเรียกว่าความงมงาย ต้องใส่ปัญญาเข้าไปถึงจะเป็นศรัทธาที่ถูก”

 

แต่มันก็เป็นอย่างนี้มาช้านาน

“เป็นอย่างนี้และจะเป็นตลอดไป เราเลี่ยงไม่ได้ ต่อให้วันนึงคนขึ้นไปบนอวกาศได้ เราก็ไปหาอะไรไหว้บนโน้นอีก มีความเชื่อไม่จบไม่สิ้น”

 

ด้วยสาเหตุอะไร เพราะความกลัว ?

“ใช่ คำนี้เลย มนุษย์กลัว ความกลัวคือความไม่รู้ พอเราไม่รู้อะไรบางอย่าง เราก็จะพยายามหาสิ่งที่มาเติมตรงนั้น ไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้รวย ซึ่งจริง ๆ มีวิธีการนะ แต่ไม่เอา มันนาน ไม่ทันใจ เลยเกิดเป็นช่องว่างในการที่คนจะทำมาหากินกับเรื่องความเชื่อแบบนี้ได้ เขาก็ร่ำรวยกันไป เราก็จนเหมือนเดิม”

 

 

“กราบพระ ขอพร”

 

เวลาไหว้พระ คุณขอพรอะไร

“ผมไม่เคยเชื่อเรื่องการขอพร เพราะมนุษย์ไม่ได้มีหน้าที่ขอพร มนุษย์มีหน้าที่แค่เพียรพยายาม เรากราบพระ เพราะเรามองว่าสิ่งนั้นสูงส่งควรแก่การกราบไหว้ เราจึงกราบเพื่อระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามีดีอย่างไรบ้าง สอนอะไรเราบ้าง เป็นแบบอย่างอะไรในชีวิตเราบ้าง กราบถึงพระธรรม พระธรรมบอกอะไรเราบ้าง เราควรอยู่กับธรรมชาติอย่างไร วิธีการจัดการกับธรรมชาติคืออะไร กราบพระสงฆ์ครูบาอาจารย์ที่เอาเรื่องราวดี ๆ มาบอกต่อ มีเทคนิคต่าง ๆ ที่ทำให้เราอยู่ในสังคมนี้ได้ ปรับปรุงแก้ไขตัวเองให้อยู่ในทางที่ถูกต้องได้ ผมสนใจแค่นี้” 

 

“ถ้าอยากจะขอก็ขอให้เป็นกำลังใจให้เรามีสติ ขอให้เราได้มีโอกาสดี ๆ มีปัญญา มีโอกาสเห็นธรรม ได้เจอกัลยาณมิตรที่ดี แต่ผมเป็นคนไม่ขอจริง ๆ ไม่รู้จะขอทำไม ถ้าเราอยากมีกัลยาณมิตรที่ดี เราก็ต้องเป็นกัลยาณมิตรที่ดีก่อน ถ้าเราดีแล้วก็น่าจะมีคนที่เป็นกัลยาณมิตรที่ดีกับเราบ้าง เราอยากให้คนอื่นดีกับเรา แต่เรายังไม่ดีกับคนอื่นเลย แล้วไปขอเทพ เทพก็ช่วยไม่ได้หรอก”

 

ถึงจะไม่รู้ความหมายของการกราบ 3 ครั้ง แต่การกราบไว้ก่อนก็ถือว่าดีกว่าใช่ไหม

“ใช่ครับ เวลากราบไหว้อย่างน้อยเขาคนนั้นจะเกิดความสบายใจ เพราะเขารู้สึกว่าเทพอยู่ข้าง ๆ เขาได้รับการดูแลจากเทพแล้วจึงเกิดกำลังใจ รู้สึกเข้มแข็ง ออกไปลุยชีวิตได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ก็ไม่ควรหยุดอยู่แค่ไหน”

 

ถ้ากราบไหว้แล้วเจอสิ่งไม่ดี แล้วโทษเทพล่ะ

(ตอบทันที) “ไม่โทษ เราจะมีข้ออ้างทุกอย่างที่ทำให้เทพดูโอเค เพราะเรารู้สึกว่าเทพดีเสมอ ช่วยเหลือเราเสมอ เหมือนคนเล่นหวยแล้วขอเทพองค์นี้ ขอไป 100 งวด แต่ถูก 1 ครั้ง แล้วบอกว่าเทพช่วย แต่อีก 99 ครั้งที่ไม่ถูกบอกว่า ฉันคงไม่มีบุญ เขาบอกมาแล้วแต่ฉันตีไม่ถูกเอง ผิดไปเลขเดียว เรามักหาทุกเหตุผลมาซัพพอร์ทให้เรารู้สึกโอเค ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติ” 

 

“วันนี้ผมคิดได้เรื่องนึง เมื่อไรก็ตามที่คนบอกว่ามีบางอย่างที่ไม่มีตัวตน ล่องลอยอยู่ในอวกาศ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดลบันดาลทุกอย่างโลกใบนี้ได้ ซึ่งเราไม่เคยเห็นนะ แต่คนส่วนใหญ่มักจะเชื่อ ในขณะเดียวกัน มีคนติดป้ายว่าสียังไม่แห้ง ปูนยังไม่แห้ง จานร้อนนะ เราจะต้องขอแตะดูก่อนว่าสีไม่แห้งจริงรึเปล่า กระทะร้อนจริงไหม ทั้งที่มันอยู่ตรงหน้าเรา แต่เราไม่เชื่อ คนพวกนั้นเขาจะเลือกเชื่อสิ่งที่มันลอย ๆ อยู่ข้างบน แต่ไม่รู้ว่ามีรึเปล่า แต่เขาจะไม่เชื่อในสิ่งที่อยู่ตรงหน้าว่าปูนไม่แห้งนะเว้ย ซึ่งลักษณะแบบนี้เป็นธรรมชาติ ไม่ต้องไปนั่งหาเหตุผลว่าเพราะอะไรเราถึงเลือกที่จะเชื่ออะไรบางอย่างที่จับต้องไม่ได้ ไม่มีตัวตน แต่คิดว่ามี"

 

"ด้วยคอนเซ็ปต์เดียวกัน เวลาคนเรามีความทุกข์มาก ๆ เจอปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต เราจะโทษกรรมเก่า โทษดวงไม่ดี เจ้ากรรมนายเวร เทพไม่ช่วย ซึ่งล้วนไม่มีตัวตน จับต้องไม่ได้ ไม่ต่างอะไรกับเทพอยู่บนสวรรค์ เราโทษทุกอย่างเลย แต่เราไม่โทษตัวเอง ทั้งที่ตัวเองอยู่ตรงนี้เลยนะ พฤติกรรมตัวเอง ความคิดความอ่าน การพูดจา เราเลือกที่จะเชื่อว่าสิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นกับฉัน เพราะชาติที่แล้วไปทำเขามา โดยไม่เคยพิจารณาปัจจุบัน ก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งไม่ได้ช่วยให้ชีวิตดีขึ้นเลย” 

 

“เข้าวัดปฏิบัติธรรมได้อานิสงส์แรง”

 

จำเป็นไหมที่ควรหาโอกาสเข้าวัดปฏิบัติธรรม 7 วัน 10 วัน

“ถือเป็นการเข้าไปทำในรูปแบบ เหมือนเราไปโรงเรียนเพื่อรู้วิธีการ แล้วเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าไม่เอามาใช้ แล้วเข้าวัดไปนั่งสมาธิซ้ำ ๆ ก็เหมือนคนติดการเข้าโรงเรียน อยากรู้อะไรก็ไปเรียน แต่เอามาใช้ไม่เป็น เหมือนครูสอนคณะบริหาร แต่ให้ไปบริหารจริง ๆ ทำไม่เป็น แต่ผมเชื่อว่ายังไงก็ต้องเรียน ขึ้นอยู่กับว่าเรียนแบบไหน อาจจะเรียนออนไลน์ เรียนแบบไฮบริด แล้วแต่ว่าเราเป็นคนชอบศึกษาแค่ไหน มีปัญญามากพอรึเปล่า การไปเรียนเป็นเรื่องดีครับ บางทีเราคิดเองเออเองอาจจะไม่รู้ว่าคอร์สที่เราเทคมันถูกรึเปล่า ถ้าเราไปสัมผัสด้วยตัวเองมันเร็วกว่า ทุกอย่างมันเอื้ออำนวย มีโอกาสได้สัมผัสบุคคลตัวเป็น ๆ  โดยตรง”

 

การเดินทางไปเยือนสี่สังเวชนียสถาน ช่วยอะไรไหม

“ก็ช่วยบ้าง แต่ถือว่าน้อย สังเวชนียสถาน หมายถึง สถานที่ที่ทำให้เกิดความสังเวช ซึ่งสังเวชไม่ได้แปลว่าเศร้าสร้อย สังเวช แปลว่า ให้เห็นแล้วรู้สึกฮึด ไม่ได้การแล้ว นี่เรามัวแต่ทำอะไรอยู่ พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปตั้งสองพันกว่าปีแล้ว ท่านลำบากขนาดนี้ในการเข้าใจและบรรลุธรรม เราจะอยู่เฉยไม่ได้แล้ว เราต้องเร่งทำตามคำสอนของท่าน นี่คือความหมายของคำว่าสังเวช ถ้าไปแล้วได้ความหมายนี้ ถือว่าไปแล้วเกิดประโยชน์ แต่ถ้าไปแล้ว โอ้ ว้าว เก่าจังเลย พระพุทธองค์เคยอยู่ตรงนี้ สาธุ แล้วไปนั่งสวดมนต์ นั่งสมาธิตรงนั้น ผมว่าแบบนั้นนั่งสมาธิอยู่บ้านหรือที่ไหนก็ได้ ไม่เห็นต้องเสียเงินเสียทองไปถึงอินเดีย” 

 

พุทธประวัติมีส่วนอภินิหารเยอะ จะแยกแยะได้อย่างไรว่าเรื่องไหนจริง เรื่องไหนแต่ง

“ในพระไตรปิฎกแยกหมวดหมู่ไว้ชัดเจนว่าส่วนไหนคือเรื่องเล่า เรื่องที่แต่งเติมขึ้นเป็นชาดก เรื่องไหนสาวกเป็นคนพูด แม้กระทั่งส่วนที่ถูกอ้างว่าพระพุทธเจ้าพูด ก็เป็นเรื่องแต่ง เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้อัดเสียงไว้ แต่ใช้วิธีการจำต่อ ๆ กันมา” 

 

“แต่เราต้องยอมรับว่าอภินิหารชาดกต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้เราเกิดปัญญา จะอาศัยแก่นอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องมีเปลือก ราก ใบ กิ่งก้านสาขา ถ้าใช้แค่แก่นอย่างเดียว คนไม่เก็ตหรอก ศาสนาพุทธน่าจะล่มสลายไปนานแล้ว แต่การที่เรามีครบองค์ประกอบนี่แหละเลยทำให้สิ่งนี้งดงาม เกิดศิลปะหลากหลายแขนงและลัทธิต่าง ๆ ขึ้นมา ซึ่งทุกสิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่อย่าไปยึดติดหรือเชื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป ยึดในพระสงฆ์ก็พัง ยึดในคัมภีร์พระไตรปิฎกก็พัง” 

 

“ดังนั้น ตอนนี้จะปฏิบัติผิดหรือถูกไม่เป็นไร แต่ขอให้เรายังอยู่ในต้นเดียวกัน หากตอนนี้อยู่แค่เปลือก ๆ ก็พยายามเข้าหาแก่นไปทีละน้อย แต่อย่าไปยึดแก่นจนเกินไปก็พอ”

SHARE

facebook
twitter
copy
Related articles / บทความที่เกี่ยวข้อง
Loading...