‘ถ้าอีก 1 ปีฉันจะต้องตาย ฉันจะ..’ ชวนคุยกับตัวเองและตอบคำถามที่ทำให้พบความหมายของชีวิต

14 Mar 2024 - 3 mins read

Art & Culture / Entertainment

Share

*บทความมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนจากหนังสือ ‘ถ้าอีก 1 ปี ฉันต้องตาย…’  

 

“ถ้าอีก 1 ปี ฉันต้องตาย ฉันจะใช้ชีวิตอย่างไร ?”  

 

ในวัยหนุ่มสาวที่เปี่ยมด้วยพลังกายและพลังใจ เราคงไม่ตระหนักถึง ‘ความตาย’ บ่อยเท่าไหร่นัก เพราะร่างกายของเรายังแข็งแรง อีกทั้งยังมีเวลาเหลือเฟือ จนบางครั้งเราก็ไม่ได้เห็นคุณค่าของมัน  

 

แต่ความจริงแล้วชีวิตเรานั้นสั้นเกินกว่าจะอ่านหนังสือที่อยากอ่านให้ครบทุกเล่ม ชีวิตเรานั้นสั้นเกินกว่าจะได้ทำสิ่งที่อยากทำทั้งหมด อีกทั้งยังเปราะบางและไม่แน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าเราจะจากโลกนี้ไปตอนไหน แต่ก่อนที่วันนั้นจะมาถึง เราขอชวนทุกคนมาลองถามตัวเองดูว่า ถ้าเหลือเวลาชีวิตอยู่อีกแค่ 365 วัน เราจะใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างไรเพื่อให้ทุก ๆ วันต่อจากนี้มีความหมาย  

 

นายแพทย์โอซาวะ ทาเคโทชิ เป็นคนหนึ่งที่อยากจะชวนเราหาคำตอบไปพร้อม ๆ กับเขา  

 

เขาเป็นแพทย์ชาวญี่ปุ่นที่มีโอกาสได้รักษาผู้ป่วยระยะสุดท้ายมากว่า 3,500 ราย เป็นคนหนึ่งที่ได้อยู่ในวาระสุดท้ายของผู้คนมานักต่อนัก จึงได้พูดคุย สังเกต และได้ฟังเรื่องราวหลากหลายรสชาติของผู้คนที่สั่งเสียไว้ครั้งสุดท้ายก่อนจะจากโลกใบนี้ไป เขาจึงเก็บเกี่ยวบทเรียนที่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตสุดท้ายของผู้ป่วย และนำมาร้อยเรียงเล่าให้พวกเราอ่านในหนังสือเรื่อง ‘ถ้าอีก 1 ปี ฉันต้องตาย…’  (もしあと1年で人生が終わるとしたら? : จะเป็นอย่างไรถ้าชีวิตของเราจะสิ้นสุดลงในอีก 1 ปี)  

 

หมอทาเคโทชิพบว่าในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต ผู้ป่วยที่เขารักษามักจะหวนกลับไปทบทวนชีวิตทั้งหมดที่ผ่านมาอีกครั้งและมักจะพูดประโยคที่ขึ้นต้นด้วย “ถ้ารู้อย่างนี้…” บ่อยที่สุด  

 

ถ้ารู้อย่างนี้…จะไม่ทำงานหนักขนาดนั้น 

ถ้ารู้อย่างนี้…จะใช้เวลาอยู่กับครอบครัวให้มากขึ้นอีกนิด 

ถ้ารู้อย่างนี้… จะทำสิ่งที่อยากทำให้หมดตอนที่ยังมีแรง  

รู้อะไร ก็ไม่สู้รู้อย่างนี้… 

 

‘สิ่งสำคัญ’ ในชีวิตที่พวกเขาหลงลืมไปกลับชัดเจนขึ้นมาทันตาเห็นเมื่อใกล้จะจากไป อีกทั้งมุมมองที่มีต่อตัวเอง ต่อผู้อื่น และต่อโลกใบนี้ก็เปลี่ยนไป เราจะให้คุณค่าต่อสิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไป เหลือไว้เพียงสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่เรียกว่า ‘คุณค่า’ ที่แท้จริงของชีวิต  

 

หมอทาเคโทชิจึงเชื่อว่าในวันที่เรายังแข็งแรงและยังมีชีวิตอยู่จึงเป็นเรื่องดีที่จะลองมองโลกในมุมของผู้ป่วยระยะสุดท้าย เพื่อให้รู้ ‘ความหมายของการมีชีวิตอยู่’  

 

บทเรียนจากวาระสุดท้าย 

ที่ทำให้ผู้คนมองเห็น ‘ความหมายของการมีชีวิตอยู่’ 

 

จากบทสนทนามากมายกับผู้ป่วยระยะสุดท้าย หมอทาเคโทชิสรุปอย่างคร่าว ๆ ว่าสิ่งสำคัญที่จะทำให้ชีวิตเราดำเนินชีวิตไปแบบไม่เสียใจในภายหลังมี 4 ข้อ คือ  

 

1.ไม่ด้อยค่าตัวเอง  

2.ลองทำสิ่งใหม่ ๆ เสมอ  

3.แสดงความรักกับคนในครอบครัวและคนสำคัญด้วยความจริงใจ  

4.ใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างเต็มที่  

 

1. 

ไม่ด้อยค่าตัวเอง 

 

คุณค่าในชีวิตของคนหนึ่งคนขึ้นอยู่กับอะไร ? เราอาจเคยตั้งคำถามถึงการมีอยู่ของตัวเราบนโลกใบนี้ บางคนอาจเคยคิดว่าค่าของคนอยู่ที่ผลงาน คุณจะมีค่าก็ต่อเมื่อทำประโยชน์บางอย่างให้กับโลกใบนี้ บางคนอาจคิดว่าชีวิตนี้ไม่มีประโยชน์กับใคร แต่สำหรับหมอทาเคโทชิ เขาสรุปจากมุมมองของผู้ป่วยระยะสุดท้ายแล้วพบว่า ‘แค่คนเรายังมีชีวิตอยู่ ก็ถือว่ามีคุณค่ามากมายต่อโลกใบนี้แล้ว’ 

 

เขาเชื่อว่าเราทุกคนมีภารกิจบางอย่างถ้ามีชีวิตอยู่จะได้ทำให้สำเร็จ โดยภารกิจเหล่านี้ต่างก็มีคุณค่าในตัวของมันเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคุณค่าที่สังคมกำหนด คนเราไม่ได้มีคุณค่าเพราะทำงานดีกว่า เพราะมีเงินมากกว่า หรือเสียสละมากกว่าใคร ภารกิจที่ว่านั้นอาจจะเป็นการดูแลต้นไม้ คอยรดน้ำ พรวนดิน เลี้ยงน้องแมว ทำความสะอาดบ้านให้สะอาด จะภารกิจเล็กน้อยหรือยิ่งใหญ่ก็ล้วนมีคุณค่า แค่เรามีชีวิตอยู่ หมอทาเคโทชิเชื่อว่าเราจะเป็นที่พึ่งพิงของใครสักคนหนึ่งได้อย่างแน่นอน  

 

2. 

ลองทำสิ่งใหม่ ๆ เสมอ

 

หนังสือเล่มนี้ชวนให้เราลองทำสิ่งใหม่ ๆ อยู่หลายเรื่อง ซึ่งไม่ได้หมายถึงกิจกรรมใหม่ ๆ แต่เป็นการทำทุกอย่างในชีวิตด้วยมุมมองใหม่ ๆ ที่จะทำให้มีความสุขมากขึ้น  

 

ผู้ป่วยคนหนึ่งเคยรีบเดินจากบ้านทุกวันเพื่อไปทำงานมาตลอดทั้งชีวิต เมื่อเขารู้ว่าตัวเองเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว เขาเริ่มเดินช้าลงแล้วค่อย ๆ สำรวจร้านรวง ดอกไม้ ใบหญ้าระหว่างทางอย่างเชื่องช้า นั่นเป็นครั้งแรกที่ทำให้เขาสังเกตเห็นความงดงามของโลกใบนี้ 

 

เช่นเดียวกันกับมนุษย์ผู้ทำงานหนักหลายคน ที่เมื่อทำงานซ้ำ ๆ แบบเดิมไปทุกวัน อาจพบว่าตัวเองค่อย ๆ ตัวเล็กลงเรื่อย ๆ ขาดแรงบันดาลใจในการทำงานจน เกิดภาวะหมดไฟ (Burnout syndromes)  

 

จากประสบการณ์ของผู้ป่วยระยะสุดท้าย ทาเคโทชิเผยว่าสุดท้ายชื่อเสียง เงินทอง ความมั่นคงเพื่อตัวเราคนเดียวนั้นไม่ได้สำคัญอีกต่อไป เพราะการที่เรามองเห็นความสุขของเราเพียงคนเดียวอาจไม่สำคัญเท่ากับว่า งานของเราจะทำให้ใครมีความสุขขึ้นอีกนิดบ้าง  

 

มุมมองที่เปลี่ยนไปเป็นมุมมองใหม่ อาจช่วยให้ใครหลายคนทำงานสนุกขึ้น มองเห็นความสวยงามของการทำงาน และมองเห็นความงดงามของชีวิตในแต่ละวันมากขึ้น 

 

3. 

แสดงความรักกับคนในครอบครัวและคนสำคัญด้วยความจริงใจ  

 

สิ่งสำคัญในชีวิตที่หนังสือเล่มนี้ชี้ชวนให้เรามองเห็นอีกอย่างหนึ่งคือเรื่อง ‘ความสัมพันธ์’ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ความสัมพันธ์กับตัวเอง และความสัมพันธ์กับโลกใบนี้ 

 

เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง สิ่งที่คนมักจะนึกถึงและเห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญคือบุคคลอันเป็นที่รักของพวกเขา ขณะที่ร่างกายแข็งแรง เราอาจให้ความสำคัญกับการทำงาน สร้างเนื้อสร้างตัวเพื่อชีวิตที่มั่นคงในบั้นปลายชีวิต ผู้ป่วยระยะสุดท้ายหลายคน โดยเฉพาะผู้ชายญี่ปุ่นมีค่านิยมทำงานหนักหาเลี้ยงครอบครัวมาทั้งชีวิต เริ่มรู้สึกว่าตำแหน่ง หน้าที่ ชื่อเสียงนั้นไม่มีอะไรสำคัญไปกว่า ‘ครอบครัว’ ที่อยู่ดูแลในวาระสุดท้ายของชีวิต 

 

หากพบว่าสิ่งสำคัญในชีวิตของเราคือครอบครัว การใช้เวลากับบุคคลที่รักให้มากพอและดีที่สุดในวันเวลาทั้งหมดที่เหลืออยู่ หากเป็นฝ่ายจากไปจะไม่นึกเสียดายที่ทำไม่เต็มที่ หากเป็นฝ่ายอยู่ต่อ เราก็จะอยู่ด้วยความรู้สึกขอบคุณ ไม่ใช่ความเสียดาย  

 

และคนสำคัญที่แสดงความรักนั้นไม่ได้หมายถึงคนรอบข้างเท่านั้น แต่ยังหมายถึงตัวเราด้วย หนังสือเล่มนี้ชวนให้เรามาสนิทกับตัวเองให้แน่นแฟ้นขึ้นอีกหน่อย โดยการยอมรับตัวตนของตัวเองทุกรูปแบบไม่ว่าในสถานการณ์ไหน แบ่งเบาเล่าเรื่องในใจให้คนอื่นฟังบ้าง ใช้ชีวิตแบบไม่กดดันตัวเองจนเกินไป เข้าใจความทุกข์ที่เกิดขึ้นกับชีวิต และสิ่งสำคัญที่สุดคือฝึกให้ตัวเองสนิทสนมกับความโดดเดี่ยว เพราะนั่นคือของขวัญและโอกาสดีที่จะทำให้เราได้ฟังเสียงหัวใจของตัวเองชัด ๆ  

  

4. 

ใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างเต็มที่

 

แต่หากลองตั้งคำถามแล้วว่าถ้าอีก 1 ปีเราจะต้องตาย แล้วเราวาดฝันถึงอนาคตอย่างไร ?  

 

นายแพทย์ทาเคโทชิเล่าว่าคนเราวาดฝันถึงอนาคตเสมอ คำว่า ‘ฝัน’ ที่ว่าอาจไม่ใช่ฝันที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตอันไกล แต่อาจหมายถึง เย็นนี้จะไปกินอะไรดี ? สุดสัปดาห์นี้จะไปเที่ยวกับเพื่อนที่ไหนดี ?  

 

การวาดฝันถึงอนาคตอันใกล้จะทำให้เราอยากมีชีวิตอยู่อย่างน้อยก็ถึงสุดสัปดาห์ที่จะได้ไปเที่ยวกับเพื่อน และสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้ายเอง แม้จะเหลือเวลาอยู่ไม่มาก แต่การวาดฝันถึงอนาคตอันใกล้ที่ปรารถนาจะทำให้ใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างมีคุณค่า และจากไปอย่างไม่เสียดาย แม้บางกรณีที่อาจจะทำตามฝันนั้นไม่ได้เต็มร้อย แต่นายแพทย์ทาเคโทชิก็เชื่อว่า การเสียใจที่ได้ลองทำอย่างเต็มที่แล้ว ดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ทำอย่างแน่นนอน  

 

หนังสือเล่มนี้อาจไม่ได้ตอบคำถามที่ว่า ‘ถ้าอีก 1 ปีฉันต้องตาย ฉันจะใช้ชีวิตอย่างไร ?’ แต่เป็นเหมือนเพื่อนคู่คิดที่จะพาเราเข้าไปฟังเสียงของหัวใจตัวเองอีกครั้งชัด ๆ  

 

เชื่อว่าการย้อนกลับไปทบทวนเรื่องที่ภูมิใจ กลับไปพบกับวัยเด็กที่เคยร่าเริงและยิ้มกว้าง กลับไปทบทวนชีวิตที่ผ่านมาอีกครั้งอาจทำให้เราก้าวเดินต่อได้ด้วยความรักในชีวิตอันมีค่านี้กว่าที่เคย 

 

ซื้อหนังสือได้ที่สำนักพิมพ์วีเลิร์น และร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป : https://bit.ly/3SZ31kL 

SHARE

facebook
twitter
copy
Related articles / บทความที่เกี่ยวข้อง
Loading...