หนีร้อนไปพึ่งเย็น ท่อง 6 ประเทศฟรีวีซ่าน่าเที่ยว

11 Apr 2023 - 10 mins read

Travel / World

Share

วันหยุดยาวของเทศกาลสงกรานต์ในเดือนเมษายน คือช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับออกเดินทางไปต่างประเทศมากที่สุด โดยเฉพาะประเทศเมืองหนาวและประเทศที่อยู่ในฤดูอื่น ไม่ใช่ฤดูร้อนเหมือนเมืองไทย

 

ถ้ายังตัดสินใจไม่ได้ว่าควรไปประเทศไหนดี LIVE TO LIFE ขอแนะนำตัวเลือกเป็น 6 ประเทศที่ทุกคนสามารถเดินทางไปเที่ยวได้ทุกเมื่อเพราะฟรีวีซ่า แถมอุณหภูมิของทุกประเทศที่คัดสรรมาให้ก็กำลังเป็นใจ เพราะเย็นสบายเหมือนรอต้อนรับนักท่องเที่ยวคนไทยโดยเฉพาะ จนเข้าทำนองว่า ‘หนีร้อนไปพึ่งเย็น’ คือหนีแดดแรงในประเทศไทยที่แสนจะอบอ้าว เพื่อไปสัมผัสอากาศเย็นสุดฟินในต่างประเทศ

 

ถึงจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ได้เปลี่ยนบรรยากาศไปท่องเที่ยวยังต่างแดน แต่ก็นับเป็นโอกาสดีที่ทุกคนจะได้ชาร์จแบตเติมความสุขและแรงบันดาลใจให้ชีวิตผ่านการพักผ่อนตลอดหน้าร้อน ก่อนกลับเข้าสู่โหมดปกติของชีวิตการทำงานกันอีกครั้งหลังวันหยุดยาวผ่านพ้นไป ด้วยพลังกายและพลังใจที่เต็มเปี่ยมเตรียมลุยทุกงาน

 

 

จอร์เจีย : ดินแดนแห่งเทือกเขาและเสน่ห์เมืองเก่าน่าค้นหา

 

หากจะมีสักประเทศที่ค่าครองชีพไม่ต่างจากเมืองไทยเท่าไหร่ ทั้งค่าอาหาร ค่าโดยสาร และค่าใช้จ่ายประจำวัน ทั้งหมดมีราคาใกล้เคียงกับไทยหรือบางอย่างอาจถูกกว่าจนแทบไม่อยากจะเชื่อ ก็คงต้องยกให้จอร์เจีย เพราะเป็นประเทศน่าเที่ยวที่ทำให้คนไทยจับจ่ายได้อย่างสบายใจและสบายเงินในกระเป๋า

 

แต่ความโดดเด่นของจอร์เจียที่กระตุ้นความอยากเดินทางไปเที่ยวมากที่สุด คือ ความงดงามของคอเคซัส (Caucasus) เทือกเขาสูงขนาดใหญ่ที่โอบล้อมประเทศนี้ไว้ตั้งแต่สมัยโบราณ

 

นอกจากเมืองหลวงอย่างกรุงทบิลิซี (Tbilisi) ที่มีอายุมากกว่า 1,500 ปี จอร์เจียยังมีสถานที่เก่าแก่อีกหลายแห่ง ซึ่งยังคงรักษาวิถีชีวิตและสภาพอาคารบ้านเรือนที่บ่งบอกให้รู้ได้ทันทีตั้งแต่แรกเห็นว่า นี่คือพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์มีชีวิต ที่พร้อมให้ทุกคนได้ตามรอยและเรียนรู้ความเป็นมาในอดีตระหว่างเที่ยว เช่น จูทา (Juta) หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ทางตอนเหนือของเทือกเขาคอเคซัส มีบรรยากาศสวยจับใจราวกับฉากที่หลุดมาจากเทพนิยาย ป้อมอนานูรี (Ananuri Fortress) ป้อมปราการสมัยศตวรรษที่ 16-17 ที่เมืองอุพลิสซิเค (Uplistsikhe) และโบสถ์หินแกรนิตเกอเกติ (Gergeti Trinity Church) สมัยศตวรรษที่ 14 ซึ่งตั้งตระหง่านอย่างมั่นคงกลางภูเขา

 

การเดินทางจากไทยไปจอร์เจียยังไม่มีเที่ยวบินตรง ต้องเปลี่ยนเครื่องที่เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี หรือไม่ก็เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งใช้เวลาเดินทางทั้งหมดประมาณ 12 ชั่วโมง แต่การเดินทางภายในประเทศจอร์เจียนั้นสะดวกมาก ในเมืองหลวงสามารถใช้บริการรถบัสและรถไฟใต้ดินได้เลย สำหรับคนที่อยากออกไปเที่ยวต่างเมือง แนะนำให้เช่าเหมารถพร้อมคนขับ เพื่อให้เขาพาเที่ยวหรือพาไปยังจุดหมายที่ต้องการ

 

ตลอดเดือนเมษายน ถือเป็นช่วงเวลาที่วิวธรรมชาติทั่วจอร์เจียจะสวยมากที่สุด สีเทาเข้มของขุนเขากับสีเขียวสดของต้นไม้และใบหญ้า ผสมกลมกลืนเป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกจากกันได้ แค่มาเที่ยวจอร์เจียประเทศเดียวก็ได้สัมผัสครบทั้งธรรมชาติและประวัติศาสตร์ผ่านขุนเขาและเมืองเก่า

 

ฤดูกาลในเดือนเมษายน : ฤดูใบไม้ผลิ (อุณหภูมิเฉลี่ย 10-14 องศาเซลเซียส)

คนไทยเดินทางได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า : อยู่จอร์เจียได้นานติดต่อกันสูงสุด 365 วัน

 

 

รัสเซีย : ดินแดนแห่งความอลังการของวัง วิหาร และสถาปัตยกรรม

 

‘เล็ก ๆ ไม่ ใหญ่ ๆ ทำ’ คือประโยคที่สะท้อนความเป็นรัสเซียได้ตรงที่สุด ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็เห็นแต่ความยิ่งใหญ่ ความหรูหรา ความอู้ฟู่ที่ไม่เป็นสองรองใคร และความอลังการของสิ่งปลูกสร้าง ทั้งวัง วิหาร โบสถ์ ห้างสรรพสินค้า แม้แต่สถานีรถไฟใต้ดิน จนทั้งหมดนี้กลายเป็นแลนด์มาร์กและสัญลักษณ์ที่เชิดหน้าชูตา

 

จุดหมายปลายทางที่ควรปักหมุดเมื่อมาถึง คือลานกว้างของจัตุรัสแดง (Red Square) ในกรุงมอสโก (Moscow) เมืองหลวงของรัสเซีย หากยืนอยู่ตรงนี้จะมองเห็นสถาปัตยกรรมของสถานที่สำคัญอีก 3 แห่ง ประกอบด้วยอาคารยาวเกือบ 3 กิโลเมตรของพระราชวังเครมลิน (Kremlin Palace) โบสถ์ทรงแปดเหลี่ยมสีสันสะดุดตาที่มีทรงโดมคล้ายหัวหอมของมหาวิหารเซนต์บาซิล (St. Basil's Cathedral) และอาคารหรูสูง 3 ชั้นของห้างสรรพสินค้ากุม (Gum)

 

ไกลออกมาหน่อยจากเมืองหลวง แนะนำให้นั่งรถไฟไปเมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เพื่อชมความตระการตาของพระราชวังฤดูร้อนเปโตรวาเรส (Peterhof Palace) ที่นี่คือจุดสูงสุดของสถาปัตยกรรมและศิลปะรัสเซีย เพราะทุกสิ่งทุกอย่างถูกสร้างขึ้นเพื่อแสดงออกถึงความมั่งคั่ง โอ่อ่า และสง่างาม ภายนอกโดยรอบมีสวนสวย ตกแต่งด้วยรูปปั้นวิจิตร และน้ำพุที่เปิดเฉพาะหน้าร้อนมากกว่า 150 จุด

 

อย่างที่เกริ่นว่า แม้แต่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินในกรุงมอสโก (Moscow Metro) ก็ยังงดงามถึงขนาดมีคำเปรียบเทียบว่าเป็นพระราชวังของประชาชน เพราะสะกดให้ผู้โดยสารทุกคนต้องหยุดมองและชื่นชมแบบไม่คลาดสายตา

 

ก่อนกลับไทย ต้องไม่ลืมแวะซื้อของฝากที่ตลาดอิซเมโลฟสกายา (Izmailovsky Market) ให้ความรู้สึกคล้ายกับตลาดจตุจักร แต่ที่นี่ขายเฉพาะของที่ระลึก ขอกระซิบบอกเคล็ดลับว่า ให้เลือกซื้อร้านที่คนขายพูดไทยได้ เพราะต่อรองราคาสนุกกว่าและอาจได้ของในราคาเกินคุ้ม

 

ฤดูกาลในเดือนเมษายน : ฤดูใบไม้ผลิ (อุณหภูมิเฉลี่ย 5-10 องศาเซลเซียส)

คนไทยเดินทางได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า : อยู่รัสเซียได้นานติดต่อกันสูงสุด 30 วัน

 

 

แอฟริกาใต้ : ดินแดนแห่งซาฟารีและการผจญภัยไม่รู้จบ

 

ถ้าไม่ได้ท่องเที่ยวแบบซาฟารี ตะลุยส่องสิงสาราสัตว์ประจำถิ่นแบบใกล้ชิด ก็ถือว่ายังมาไม่ถึงแอฟริกาใต้ เพราะที่นี่คือดินแดนแห่งการผจญภัยสุดตื่นเต้นที่มีภารกิจท้าทายให้ผู้มาเยือนตามหาสัตว์ในอุทยานแห่งชาติครูเกอร์ (Kruger National Park) ทั้ง 5 ชนิด หรือ The Big 5 ให้พบก่อนจบทริป ได้แก่ สิงโต เสือดาว ช้างป่า ควายป่า และแรด ซึ่งยากเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่ความเพลิดเพลินจะทำให้ลืมความยากไปเสียสนิท

 

ส่วนค่าใช้จ่ายสำหรับท่องซาฟารีอยู่ในช่วงราคาระหว่าง 3,000-8,000 บาท ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกท่องเที่ยวแบบไหน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ แบบเต็มวัน แบบครึ่งวัน และแบบเหมารถหากต้องการเที่ยวกลุ่มเล็ก ๆ แบบส่วนตัว

 

เมื่อเสร็จจากส่องสัตว์ อีกกิจกรรมที่น่าทำต่อเนื่องกันคือ ตั้งแคมป์ ทำอาหาร และนั่งผิงไฟ เพราะในเขตอุทยานมีพื้นที่ที่ปลอดภัยจากสัตว์ป่าไว้ให้นักท่องเที่ยวได้พักผ่อนและดื่มด่ำกับบรรยากาศของธรรมชาติในเวลากลางคืนอย่างเต็มอิ่ม ซึ่งแตกต่างจากกลางวันให้ความรู้สึกคนละอารมณ์ เพราะบนท้องฟ้าที่มืดสนิท ไม่มีแสงไฟบดบังความงาม ทำให้มองเห็นทางช้างเผือกและกลุ่มดาวที่ส่องสว่างระยิบระยับเต็มผืนฟ้า แน่นอนว่าเป็นวิวยามค่ำคืนที่หาดูไม่ได้ในเขตเมืองใหญ่

 

นอกจากเขตอุทยานแล้ว ในประเทศแอฟริกาใต้ยังมีอีกจุดที่น่าไปเยือน คือ เคปทาวน์ (Cape Town) ซึ่งเป็นเมืองชายฝั่งที่ติดกับมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแอตแลนติก ทำให้เมืองนี้มีชีวิตชีวาไม่เหมือนภาพจำที่คนทั่วไปมักนึกถึงแอฟริกาใต้ ภายในเมืองมีทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ให้แวะนั่งพักดื่มกาแฟ สถานที่สำหรับการแสดงดนตรีสดและจัดนิทรรศการศิลปะ ซึ่งจะหมุนเวียนตลอดปี รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวอย่าง พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ (Two Ocean Aquarium) และจุดชมวิวแบบ 360 องศา บนชิงช้าสวรรค์ประจำเมือง (The Cape Wheel)

 

ที่สำคัญ กฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations) ได้ระบุว่า ผู้ที่ต้องการเดินทางไปประเทศในแถบแอฟริกากลางและอเมริกาใต้ ต้องรับวัคซีนป้องกันไข้เหลือง (Yellow Fever Vaccine) จากสถานพยาบาลที่มีบริการ ก่อนเดินทางอย่างน้อย 10 วัน เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีการระบาดสูง

 

ฤดูกาลในเดือนเมษายน : ฤดูใบไม้ร่วง (อุณหภูมิเฉลี่ย 15-25 องศาเซลเซียส)

คนไทยเดินทางได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า : อยู่แอฟริกาใต้ได้นานติดต่อกันสูงสุด 30 วัน

 

 

ตุรกี : ดินแดนจรดสองทวีปและอู่อารยธรรมโบราณล้ำค่า

 

เมื่อไม่นานมานี้ ทางการของตุรกีได้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น ‘ตุรเคีย’ ถึงอย่างนั้นคนทั่วโลกก็ยังคุ้นชินกับชื่อเดิมมากกว่า แต่สิ่งที่สำคัญที่ชื่อประเทศไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปได้ คือ เสน่ห์ของการเป็นดินแดนที่มีสองทวีปมาบรรจบกัน ระหว่างทวีปเอเชียฝั่งตะวันตกกับทวีปยุโรปฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้ตุรกีเป็นอู่อารยธรรมสำคัญของโลก เพราะวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่หลากหลายของคนเอเชียและคนยุโรปได้มาพบกันในประเทศนี้

 

หนึ่งในสถานที่สำคัญของกรุงอิสตันบูล (Istanbul) เมืองหลวงของตุรกี คือ สุเหร่าสีน้ำเงิน (Blue Mosque) ซึ่งมองเห็นไปจากที่ไกล เพราะเป็นสุเหร่าขนาดใหญ่ นอกจากเป็นที่ละหมาดของชาวมุสลิมแล้ว ยังเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมความสวยงามภายใน ซึ่งประดับประดาไปด้วยกระเบื้องและกระจกสีที่ออกแบบลวดลายให้เป็นดอกกุหลาบ ทิวลิป และคาร์เนชั่น

 

อีกสถานที่สำคัญที่อยู่เคียงข้างกัน คือ วิหารเซนต์โซเฟีย (Mosque of Hagia Sophia) เดิมเป็นโบสถ์ที่ใช้ประกอบพิธีทางศาสนาคริสต์ที่มีการออกแบบภายในโดยได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะของกรีกโรมันและเปอร์เซีย แต่ปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นที่ละหมาด และเปิดให้คนเข้าชมได้เช่นเดียวกัน

 

เยื้องกับวิหารเซนต์โซเฟีย เป็นอุโมงค์เก็บน้ำเยเรบาตัน (Yerebatan Sarnici) คนสมัยก่อนเคยใช้เป็นที่กักเก็บน้ำ ซึ่งจุได้มากถึง 80,000 ลูกบาศก์เมตร เทียบเท่าสระว่ายน้ำมาตรฐานที่ใช้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 270 สระ ข้างในเต็มไปด้วยเสาโรมันเพื่อรองรับน้ำหนักด้านบนอุโมงค์ หากสังเกตให้ดีจะเห็นรูปสลักเป็นดวงตาของปีศาจ และหัวของเมดูซา ทำให้ที่แห่งนี้ดูน่าเกรงขามมากขึ้น

 

ส่วนกิจกรรมน่าสนใจที่หลายคนอาจมองข้ามไปคือ การล่องเรือบริเวณช่องแคบบอสฟอรัส (Bosporus Strait) ซึ่งจะทำให้เห็นความเป็นอยู่และวิถีของผู้คนซึ่งมีวิวของแผ่นดินตุรกีที่ติดกับทะเลดำและทะเลมาร์มาร่าเป็นฉากหลัง กลายเป็นภาพโปสต์การ์ดมีชีวิตที่กล้องถ่ายรูปไม่อาจบันทึกรายละเอียดได้ครบถ้วน ต้องใช้ตาเก็บบันทึกเป็นความทรงจำน่าประทับใจ

 

ฤดูกาลในเดือนเมษายน : ฤดูใบไม้ผลิ (อุณหภูมิเฉลี่ย 7-20 องศาเซลเซียส)

คนไทยเดินทางได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า : อยู่แอฟริกาใต้ได้นานติดต่อกันสูงสุด 30 วัน

 

 

ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ : นั่งเรือเฟอร์รี่ข้ามฟากเที่ยวสองดินแดนในฤดูใบไม้ผลิ

 

ท่องเที่ยวรับอากาศเย็นทั้งที ก็ไปทั้งสองประเทศในทริปเดียวกันนี่แหละ เพราะระยะห่างระหว่างฟุกุโอกะ (Fukuoka) เมืองที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคคิวชูซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของประเทศญี่ปุ่น กับปูซาน (Busan) เมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเกาหลีใต้ มีวิธีเดินทางที่ง่าย สะดวก และรวดเร็วที่สุด คือ นั่งเรือเฟอร์รี่ JR Kyushu Jet Ferry ข้ามฟากไปกลับ ใช้เวลาเที่ยวละ 3 ชั่วโมง 40 นาที ในราคา 16,000 เยนต่อเที่ยว (ประมาณ 4,300 บาท)

 

ฝั่งฟุกุโอกะ มีสถานที่น่าสนใจหลายแห่ง แต่ในเดือนเมษายนของทุกปี คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่นิยมมาชมดอกไม้บานที่สวนริมทะเล (Uminonakamichi Seaside Park) เพราะเป็นจุดชมดอกไม้ประจำเมือง ด้วยขนาดพื้นที่ที่กว้างขวางถึง 15,000 ตารางเมตร ทำให้มีต้นซากุระยืนต้นเรียงรายมากกว่า 1,000 ต้น ส่วนพื้นที่ราบเป็นทุ่งดอกเนโมฟีลาสีฟ้าเข้ากับสีของท้องฟ้าไม่ผิดเพี้ยน มีค่าเข้าชม 450 เยน (ประมาณ 130 บาท)

 

สำหรับฝั่งปูซาน มีหมู่บ้านวัฒนธรรมคัมชอน (Gamcheon Culture Village) ที่อาคารบ้านเรือนทุกหลังพร้อมใจกันเปลี่ยนสีบ้านโทรม ๆ เป็นสีสันสดใสด้วยโทนสีพาสเทลที่มองเห็นเด่นชัดแต่ไกล ภายในหมู่บ้านตามตรอกซอกซอย ยังมีการประดับตกแต่งด้วยรูปปั้นและงานศิลปะ ให้นักท่องเที่ยวตามหา โดยเฉพาะรูปปั้นเจ้าชายน้อยและสุนัขจิ้งจอก จากวรรณกรรมเยาวชนคลาสสิกเรื่อง The Little Prince ซึ่งกลายเป็นจุดถ่ายรูปคู่ยอดฮิต มีแต่นักท่องเที่ยวต่อแถวเหยียดยาว

 

ฤดูกาลในเดือนเมษายน : ฤดูใบไม้ผลิ (ญี่ปุ่นอุณหภูมิเฉลี่ย 10-21 องศาเซลเซียส / เกาหลีใต้อุณหภูมิเฉลี่ย 6-16 องศาเซลเซียส)

คนไทยเดินทางได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า : อยู่ญี่ปุ่นได้นานติดต่อกันสูงสุด 15 วัน / อยู่เกาหลีใต้ได้นานติดต่อกันสูงสุด 90 วัน

 

 

อ้างอิง

SHARE

facebook
twitter
copy
Related articles / บทความที่เกี่ยวข้อง
Loading...